สภาพปัญหาในช่วง 50 ปี ที่ผ่านมา รายได้เฉลี่ยของประชาชนในประเทศโลกตะวันตกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า คนมีอาหาร เสื้อผ้า รถยนต์ บ้าน สุขภาพ การเดินทางท่องเที่ยว มากขึ้น แต่ผลจากการสำรวจและงานวิจัยพบว่าคนไม่ได้มีความสุขมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องทบทวนว่า ความสุขคืออะไร ความสุขเกิดจากอะไร และทำอย่างไรประชาชนจะมีความสุขเพิ่มขึ้น
ในศตวรรษที่ 18 นักปรัชญา Enlightenment ชาวอังกฤษชื่อ Jeremy Bentham ผู้ก่อตั้ง University College of London เสนอ The Greatest Happiness Principle ว่าสังคมที่ดีที่สุดคือสังคมที่ประชาชนมีความสุขที่สุด นโยบายสาธารณที่ดีที่สุดคือนโยบายที่สร้างความสุขมากที่สุด และ ในระดับบุคคลการกระทำที่ถูกต้องตามจริยธรรมเป็นสิ่งที่สร้างความสุขมากที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในขณะนั้นยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับความสุขอย่างแท้จริง ในระยะต่อมาปรัชญา Enlightenment จึงถูกแทนที่ด้วยแนวคิดของปัจเจกบุคคล (Individualism) ซึ่งส่งผลให้คนแข่งขันเพื่อหาความสุขให้กับตนเองมากจนเกินไป และในที่สุดก็พบว่าคนและสังคมโดยรวมไม่ได้มีความสุขเพิ่มขึ้น
วิชาจิตวิทยาสมัยใหม่ ให้ความสำคัญและมักจะเน้นในเรื่อง Positive Psychology มีความเข้าใจในความสุขในมุมมองที่กว้างขึ้น โดยมองว่ามาจากปัจจัยหลายอย่างทั้งจากภายนอกและภายในตัวบุคคลมีผลต่อความสุขของบุคคล ในขณะที่วิชาเศรษฐศาสตร์อธิบายสถานการณ์ที่บุคคลมีความต้องการคงที่ สังคมมีทรัพยากรจำกัด กลไกตลาดมีความสมบูรณ์ ซึ่งในสถานการณ์นั้นความสุขที่วัดด้วยรายได้ประชาชาติ และพฤติกรรมการแสวงหาความสุขของบุคคลสามารถนำไปสู่ความสุขสูงสุดของสังคมได้ด้วยกลไกตลาด (invisible hand) แต่ในความเป็นจริงความสุขของคนนั้นมีปัจจัยมากกว่าเงินและความมีเสรีภาพ
ปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อความสุขของบุคคล
นอกเหนือจากสิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องในมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ ยังมีปัจจัยอื่นที่สำคัญ ที่ต้องคำนึงถึงได้แก่
(1) ความต้องการของคนไม่คงที่ เนื่องจากคนมักเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น นอกจากนั้นควรต้องการของคนยังเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ เช่น การศึกษาและโฆษณา เป็นต้น
(2) คนต้องการความมั่นคง ในงาน ในครอบครัว และในสภาพแวดล้อมของสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือความควบคุมของตนเองเพียงคนเดียว
(3) คนต้องการที่จะสามารถไว้ใจผู้อื่น (Trust) ซึ่งในสังคมปัจจุบันมีน้อยลงเนื่องจากการเคลื่อนย้ายถิ่น ฐานมีมากขึ้น
ความจริง 12 ข้อของความสุข
(1) ความสุขเป็นประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรมและสามารถวัดได้ ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การสอบถาม การวัดกระแสคลื่นไฟฟ้าในสมอง เป็นต้น นอกจากนั้นความสุขคือสิ่งที่ผกผันโดยตรงกับความทุกข์เมื่อความสุขมากขึ้นความทุกข์ลดลง
(2) การแสวงหาความสุขเป็นธรรมชาติของคน โดยคนจะหาวิธีสร้างความสุขโดยเปรียบเทียบต้นทุนและผลที่จะได้รับจากวิธีต่างๆ
(3) สังคมที่ดีที่สุดคือสังคมที่มีความสุขมากที่สุด ดังนั้นนโยบายสาธารณะควรมีเป้าหมายเพื่อสร้างความสุขและลดความทุกข์ให้มากที่สุด
(4) สังคมจะไม่มีความสุขเพิ่มขึ้นยกเว้นคนในสังคมมีเป้าหมายร่วมกันว่าต้องการให้สังคมมีความสุขเพิ่ม ขึ้น เนื่องจากความสุขของคนขึ้นกับพฤติกรรมของผู้อื่นๆ ถ้าทุกคนยอมรับเป้าหมายของความสุขในสังคม จึงจะสามารถร่วมกันจัดระบบของสังคม ให้เกิดประโยชน์สาธารณะ (common good) ขึ้นได้
(5) มีเพื่อน มีครอบครัว มีงานทำ เป็นความสุขที่นอกเหนือจากเรื่องเงิน ดังนั้น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไม่ใช่เป็นเพียงกระบวนการสู่เป้าหมายแต่เป็นสิ่งที่สร้างความสุขของให้คนด้วย
(6) ความสุขของสังคมโดยเปรียบเทียบระหว่างสังคมต่างๆ สามารถวัดได้โดยเครื่องชี้ 6 ตัว ได้แก่
1) สัดส่วนประชากรที่เห็นว่าสามารถไว้ใจคนอื่นในสังคมได้
2) สัดส่วนประชากรที่เป็นสมาชิกของกลุ่ม/องค์กรต่างๆที่รวมตัวกัน
3) อัตราการหย่าร้าง
4) อัตราการว่างงาน
5) คุณภาพของรัฐบาล
6) ความเชื่อถือในศาสนา นโยบายที่สามารถส่งเสริมความไว้ใจให้เกิดขึ้นในสังคมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก นโยบายดังกล่าวได้แก่ การให้การศึกษาด้านจริยธรรม การสร้างครอบครัว ชุมชน และที่ทำงานที่อบอุ่นมั่นคง
นอกจากนั้นต้องคำนึงถึงผลดีและผลเสียของการปรับสภาพการทำงานให้มีความยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลง (flexibility and change) เทียบกับความคงที่และแน่นอน (inflexibility and predictability) ให้ดี โดยเฉพาะการนำมาใช้กับภาครัฐ เนื่องจากคนจะมีความสุขและความภูมิใจในงานของตนและการช่วยเหลือผู้อื่นเป็นแรงจูงใจที่สำคัญในการทำงาน (satisfaction of professional norm) การตั้งเป้าหมายและดึงดูดใจให้ทำงานโดย pay for performance อาจทำให้แรงจูงใจเดิมลดลงและอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดของการ เพิ่มปฏิรูปภาครัฐ
(7) คนมีความทุกข์กับสิ่งที่สูญเสียไปง่ายกว่าการดีใจกับสิ่งที่ได้มาใหม่ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ต้องคำนึง เพราะคนมีความยึดติดกับสถานภาพปัจจุบัน นอกจากนั้นคนชอบสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ดังนั้นการเคลื่อนย้ายแรงงานและถิ่นฐานอาจทำให้ประสิทธิภาพของประเทศมากขึ้นแต่คนมีความสุขน้อยลง เพราะข้อเท็จจริงชี้ว่าความปลอดภัยในสังคมและสุขภาพจิตจะด้อยลงในสภาพสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงสูง
(8) คนใส่ใจกับสถานะทางสังคมอย่างยิ่ง คนมีธรรมชาติที่ต้องการจะดีกว่าคนอื่น นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมไม่ได้มีความสุขเพิ่มขึ้นถึงแม้จะมีความก้าวหน้าในการพัฒนาไปมาก เมื่อมีคนรู้สึกดีขึ้น จะมีคนอื่นที่รู้สึกแย่ลงโดยเปรียบเทียบ การที่คนทำงานเพิ่มขึ้นมีรายได้เพิ่มขึ้นก็ทำให้คนอื่นมี ความทุกข์มากขึ้น นโยบายสำคัญที่จะช่วยลดปัญหานี้มี 2 เรื่อง คือ 1) ภาษีจะช่วยบรรเทาการแข่งขันอย่างไม่หยุดหย่อน (rat race) ได้ และอาจเป็นสิ่งที่ดีที่คนจะลดการทำงานลงบ้างถ้าสังคมโดยรวมจะมีความสุขมากขึ้น 2) การศึกษา จำเป็นต้องสอนเยาวชนให้มีค่านิยมที่ถูกต้องในเรื่องของสถานะทางสังคมและปลูกฝังให้มีความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น
(9) คนมีการปรับตัวกับสิ่งใหม่อยู่เสมอ เมื่อได้สิ่งที่ดีขึ้นแล้วระยะหนึ่งก็จะรู้สึกเคยชิน ดังนั้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจึงไม่ทำให้คนรู้สึกมีความสุขยาวนาน รายได้ในปีต่อไปจะต้องเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เคยได้รับคนจึงจะรู้สึกมีความสุข คนจึงเสพติดการหาเงินเช่นเดียวกับเสพติดบุหรี่ ภาษีเป็นเครื่องมือที่สามารถลดพฤติกรรมทำงานหนักจนเกินไปที่เป็นผลเสียระยะยาวต่อความสุขของบุคคลลงได้
(10) คนยิ่งรวยยิ่งมีความสุขกับเงินน้อยลง เงินจำนวนเท่ากันจะสร้างความสุขให้กับคนจนได้มากกว่าคนรวย ดั้งนั้นนโยบายลดช่องว่างของรายได้ระหว่างชนชั้นในสังคม และระหว่างประเทศร่ำรวยกับประเทศยากจน จะช่วยเพิ่มความสุขของสังคมโดยรวม
(11) ความสุขขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของบุคคลมากพอกับปัจจัยภายนอก ระบบการการศึกษาควรมุ่งเพิ่มปัจจัยบวกภายในตัวคน และการฝึกจิต เช่น การนั่งสมาธิ เป็นต้น จะช่วยให้คนสามารถต่อต้านความทุกข์และเพิ่มความสุขได้
(12) นโยบายสาธารณะมีผลต่อการลดความทุกข์ได้ง่ายกว่าการสร้างความสุข เนื่องสาเหตุของความทุกข์และการขจัดทุกข์มันเห็นได้ง่ายกว่า นโยบายสาธารณะจึงควรมุ่งไปที่กลุ่มคนที่มีความทุกข์ในสังคม
การนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นจะมีผลบวกกับความสุขก็ต่อเมื่อเรามีรายได้ที่มากกว่าคนอื่นเท่านั้น คนที่มีรายได้ที่น้อยกว่าคนทั่วไปส่วนใหญ่ ก็จะมีสุทธิความสุข หรือ Net Happiness ที่ได้มาจากการเปรียบเทียบทางสังคมเป็นค่าลงไป เพราะฉะนั้นการเปรียบเทียบทางสังคมก็จะส่งผลให้คนทั่วไปส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในที่ทำงานมากขึ้น และมีเวลาให้กับครอบครัวน้อยลง เพื่อที่จะผลักดันให้ตนเองมีรายได้ที่ดีกว่าคนอื่น เพื่อจะได้มีความสุขมากกว่าคนอื่น
แต่ว่าการเปรียบเทียบทางสังคมนั้น กลับไม่ส่งผลประโยชน์ให้กับความสุขโดยรวม หรือ Social Happiness เลย เพราะว่าความสุขที่ได้มาจากการเปรียบเทียบเป็น Zero-sum Game ซึ่งจำนวนของคนที่ได้จะเท่ากับจำนวนของคนที่เสีย ส่วนความสุขโดยรวม อาจจะลดลงไปด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าความสุขที่เราได้มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นวัดได้น้อยกว่าความสุขที่เราควรจะได้รับมาจากการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว และคนที่เรารัก
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ คนเรานั้นสามารถปรับตัวไปกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นเร็วมาก จากผลการวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์ชาวสวิส Alois Stutzer แห่งมหาวิทยาลัย Zurich สรุปให้เห็นว่า ความทะเยอทะยานทางด้านรายได้ (Income Aspiration) ของคนเรา ส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นพร้อมๆ กันกับรายได้ที่เราได้รับมาซึ่งก็จะทำให้ความพึงพอใจกับรายได้ และชีวิตเราลดลงไปด้วย
Andrew Oswald นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษแห่งมหาวิทยาลัย Warwick กล่าวว่า ความสุขที่เราได้มาจากเงินนั้นมีค่าน้อยมาก เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับความสุขที่เราได้มาจากปัจจัยอื่นๆ ในชีวิต
Oswald ได้ใช้เทคนิคที่ว่าด้วย สมการความสุข หรือ Happiness Equation มาแสดงให้เห็นว่า ถ้ารัฐบาลอังกฤษต้องการที่จะจ่ายค่าชดเชยคนๆ หนึ่ง ที่มีความทุกข์จากการว่างงาน เพื่อที่จะทำให้คนคนนั้นกลับไปมีความสุขเทียบเท่ากับตอนที่เขายังมีงานประจำทำ รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินเขาเป็นจำนวน E 75,000 หรือเป็นเงินไทยก็ประมาณ 5.6 ล้านบาทต่อปี |