10 Cosmetic Tips สำหรับผิวแพ้ง่าย
เครื่องสำอางถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่ห้าสำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายเลยทีเดียว ซึ่งผิวหนังของทุกคนก็มีความแตกต่างกันเป็นธรรมดา เช่น มีทั้งผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม เป็นต้น สำหรับผิวที่เป็นปัญหามากในการใช้เครื่องสำอางคือผิวที่แพ้หรือระคายเคืองง่าย (Sensitive skin)
คุณหมอ Zoe Diana Draelos ซึ่งเป็นอาจารย์แพทย์ผิวหนังที่ Wake Forest University School of Medicine ประเทศอเมริกา ได้แนะนำว่าคุณผู้หญิงทั้งหลายควรมีความรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบ (ingredient) ของเครื่องสำอางที่ตนกำลังเลือกซื้อ และแนะนำเคล็ดลับไว้ดังนี้ครับ
1. Choose powder when possible
เลือกเครื่องสำอางที่เป็นแป้งดีกว่าแบบเหลว
เครื่องสำอางชนิดแป้งสามารถที่จะช่วยลดความมันได้ และยังมีส่วนประกอบจำพวกสารกันบูด และสารชนิดอื่นๆ น้อยด้วย ซึ่งทำให้โอกาสที่จะเกิดการแพ้หรือการระคายเคืองน้อยกว่าชนิดที่เป็นน้ำ (liquid) หรือชนิดอื่นๆ
2. Avoid waterproof cosmetics
หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางกันน้ำ
บางคนอาจชอบเครื่องสำอางชนิด Waterproof เช่น mascara แต่เครื่องสำอางเหล่านี้เวลาล้างทำความสะอาดต้องใช้สารละลายชนิดพิเศษ ซึ่งจะสามารถลอกไขมันของผิวหนังหลุดออกได้ ซึ่งเมื่อเวลาผิวหนังของเราไม่มีไขมันก็จะทำให้ผิวแห้ง และเกิดการแพ้หรือระคายเคืองง่ายขึ้นจึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางชนิด Waterproof
3. Throw out old cosmetics
อย่าใช้เครื่องสำอางหมดอายุ
คุณผู้หญิงควรสังเกตวันหมดอายุให้ดี เพราะบางที่อาจเขียนไว้ข้างกล่อง ซึ่งคุณผู้หญิงทั้งหลายมักทิ้งลงถังขยะตั้งแต่เวลาใช้ครั้งแรก เพราะเครื่องสำอางที่หมดอายุจะมีการเสื่อมสภาพ หรือมีพวกเชื้อราหรือเชื้อโรคขึ้นได้ โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่ใช้บริเวณรอบดวงตา ถ้าบังเอิญคุณได้ทิ้งกล่องไปแล้ว ก็อย่าเพิ่งตกใจ คุณหมอ Draelos มีคำแนะนำเกี่ยวกับวันหมดอายุของเครื่องสำอางโดยประมาณดัง
- 1 ปี สำหรับรองพื้น หรือลิปสติก
- 2-4 เดือนสำหรับ mascara
- 2 ปี สำหรับพวกแป้งหรือ shadow
และที่สำคัญอย่าลืมทำความสะอาดพวกแปรง หรือฟองน้ำที่ใช้ด้วยครับ
4. Use black-colored eyeliner and mascara products
ใช้ eyeliner และ mascara สีดำปลอดภัยกว่าสีอื่น
เพราะเครื่องสำอางสีจำพวกนี้จะมีโอกาสแพ้น้อยกว่าสีอื่นๆ
5. Use pencil eyeliner and eyebrow fillers
ใช้ดินสอเขียนขอบตาดีกว่า eyeliner แบบเหลว
เครื่องสำอางพวกนี้จะเป็น wax-based และมีสารที่เป็นส่วนประกอบไม่มากทำให้โอกาสแพ้หรือระคายเคืองก็จะน้อยลง เครื่องสำอางที่เป็น liquid eyeliner อาจมีส่วนประกอบของยาง (latex) ที่จะเป็นปัญหาได้สำหรับคนที่แพ้ยาง (latex-sensitive) นอกจากนี้การทำความสะอาดเครื่องสำอางที่เป็นดินสอจะทำได้ง่ายกว่า เพราะเป็น water removable
6. Stick to earth-toned eye shadows
เลือกสีเอิร์ทโทนระคายเคืองน้อยกว่าสีโทนอื่น
สีในกลุ่ม earth-toned เช่น tan, cream, white or beige จะทำให้เกิดแพ้หรือระคางเคืองบริเวณเปลือกตา (eyelid) ได้น้อยกว่าสีชนิดอื่นๆ
7. Check sunscreen ingredients
ตรวจสอบสารกันแดดว่าปลอดภัย
โดยทั่วไปแพทย์ผิวหนังจะแนะนำใช้ครีมกันแดดที่มี SPF เท่ากับหรือมากกว่า 15 และสามารถป้องกันทั้ง UVA และ UVB สำหรับคุณผู้หญิงที่มีผิว sensitive ควรเลือกประเภทที่เป็นสารชนิดสะท้องแสง (physical sunscreen) คือพวก titanium oxide และ zinc oxide เพราะสารพวกนี้มีโอกาสที่จะแพ้น้อยมากครับ ส่วนสารกันแดดชนิดสารเคมี (chemical sunscreen) จะมีโอกาสแพ้ได้มากกว่า ซึ่งผมเคยแนะนำคนไข้ของผมให้ใช้ physical sunscreen ปรากฎว่ายังมีอาการแพ้อยู่มาก ผมเลยดูส่วนประกอบพบว่านอกจากมี physical sunscreen แล้วยังมีการใช้ chemical sunscreen เป็นจำนวนมาก โดยที่ทางบริษัทเขียนที่กล่องว่า physical sunscreen
8. Use products that contain no more 10 ingredients
เลือกเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมน้อยกว่า 10 ชนิด
ซึ่งเป็นหลักการง่ายๆ ครับว่าถ้ามีส่วนประกอบน้อย โอกาสที่จะแพ้หรือระคายเคืองก็ย่อมจะน้อยเป็นธรรมดา
9. Avoid nail polishes
อย่าให้ยาทาเล็กโดนผิวอ่อนบาง
เวลาที่เราทำเล็บ และเล็บยังไม่แห้งดีแล้ว เราอาจจะเอาเล็บไปโดนใบหน้าหรือตา ซึ่งเป็นผิวหนังที่มีโอกาสที่จะแพ้สูงมาก
10. Use foundations based on silicone
เลือกรองพื้นที่เป็นสาร silicone
ในข้อที่ 1 นั้นจะแนะนำให้ใช้ชนิดแป้งมากกว่าที่จะเป็น liquid foundation แต่ถ้าจะใช้ liquid foundation ควรเลือกที่เป็น silicone base เพราะโอกาสที่จะเกิดปัญหาจะน้อยกว่า
เครื่องสำอางเป็นสิ่งที่ทำให้คุณผู้หญิงดูดีขึ้น แต่ถ้าเครื่องสำอางนั้นก่อให้เกิดปัญหากับคุณ ก็ลองใช้คำแนะนำดังกล่าวดู แต่ถ้ายังมีปัญหาอีกผมว่าควรพบแพทย์ผิวหนังดีกว่าครับ เพราะบางทีคุณอาจเป็นโรคผิวหนังอักเสบบริเวณต่อมไขมัน (seborrheic dermatitis) หรืออาจจำเป็นต้องทดสอบภูมิแพ้ผิวหนัง ชนิด patch test ดูว่าแพ้อะไรกันแน่ ซึ่งผมว่าคนไทยเราค่อนข้างโชคดี เพราะค่าแพทย์ผิวหนังที่เมืองไทยไม่แพงคือประมาณ 200-400 บาท ในขณะที่ต่างประเทศ เช่น ประเทศอเมริกา 4,500-6,000 บาท สิงค์โปร์ 2,500 บาท มาเลเซีย หรือไต้หวัน 400-600 บาท นอกจากนี้คุณภาพของแพทย์ไทยก็เป็นที่ยอมรับของต่างชาติ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่คนไข้ต่างชาติทั้งจากอเมริกา อังกฤษ ยุโรป ตะวันออกกลาง ญี่ปุ่น สิงค์โปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน ฯลฯ ได้เดินทางมารักษากับแพทย์ไทยเป็นจำนวนมาก
เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีปัญหาผิวหนังอะไรควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังดีกว่า อย่าเอาใบหน้าของคุณไปเสี่ยงเลย
ขอขอบคุณที่มา : http://www.tttonline.net
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
|