ผู้ปกครองและเด็กๆทั้งหลาย ฟังทางนี้ เวลาดูโฆษณาทางโทรทัศน์ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเร็วๆนี้ สถาบันศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐ ได้ออกโรงเตือนว่า โฆษณาที่ฉายอยู่ทางโทรทัศน์กลายเป็นสื่อ ชักจูงใจให้เด็กๆ ทั้งหลายหันมานิยมบริโภคอาหารที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเพียงน้อยนิด ทว่า อุดมไปด้วย แคลอรีที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
การทำการตลาดของสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มในปัจจุบันได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเด็กในระยะยาว ไมเคิล แม็คจินนิส นักวิชาการอาวุโสของสถาบันการแพทย์ของสถาบันศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้จัดทำการวิจัย เกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อนำเสนอแก่รัฐสภา สหรัฐ กล่าว ทั้งนี้
ถ้าเด็กและเยาวชนมะกันทั้งหลายต้องการที่จะพัฒนานิสัยการรับประทานอาหารที่จะช่วยให้หลีกเลี่ยงการเกิดโรคร้ายต่างๆ ได้นั้น พวกเขาจะต้องลดการบริโภคอาหารที่มีแคลอรีสูง ขนมขบเคี้ยวที่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร อาหารจำพวกฟาสต์ฟูดและเครื่องดื่มที่มีรสหวานทั้งหลาย ซึ่งสินค้าเหล่านี้ถือว่ามีการทุ่มเม็ดเงินจำนวนมากในการทำการตลาด เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กชาวมะกันทั้งหลาย
แม็คจินนิส กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นข้างต้นนี้ ผู้ปกครองจะต้องมีบทบาทที่สำคัญในการแก้ไขลักษณะนิสัยการบริโภคอาหารของเด็ก ขณะที่บรรดาผู้ผลิตอาหาร เครื่องดื่ม และร้านอาหารต่างๆ ก็ต้องพึงตระหนักและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ นิสัยการเลือกและรับประทานอาหารมักจะเริ่มเพาะบ่มขึ้นในช่วงที่อยู่ในวัยเด็ก และมีแนวโน้มว่าจะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของคนคนนั้นในระยะยาว
ขณะที่ล่าสุดได้มีการสำรวจ พบว่า ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เด็กและวัยรุ่นสหรัฐที่มีรูปร่างอ้วนเพิ่มจำนวนมากขึ้นถึง 3 เท่า
บรรดานักวิทยาศาสตร์ที่วิจัยในเรื่องนี้ ได้เรียกร้องให้ผู้ผลิตและร้านอาหารทั้งหลายให้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ และการโฆษณาที่ดึงดูดใจให้แก่เด็กๆ หันมาบริโภคอาหารที่มีคุณค่าสารอาหารสูงและมีแคลอรี ไขมัน เกลือและน้ำตาลต่ำ เพื่อส่งผลดีแก่สุขภาพ
สถาบันศึกษาวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ ยังได้ระบุเพิ่มเติมว่า โฆษณาทางโทรทัศน์มีอิทธิพลมากต่อการเลือกซื้ออาหารของเด็กอายุ 2 ขวบถึง 11 ปี และส่งผลกระทบต่อการบริโภคอาหารอย่างน้อยสุดก็ในระยะสั้นของเด็กๆเหล่านั้น
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา สินค้าอาหารชนิดใหม่ๆ ได้พุ่งเป้าเจาะตลาดกลุ่มเด็กอเมริกันเพิ่มขึ้น โดยจากเดิมมีเพียง 52 รายการเท่านั้นที่จดทะเบียนสินค้า ทว่า ในปี 2547 กลับพุ่งเป็น 500 รายการ
ในปีเดียวกัน บริษัทเหล่านี้ก็ได้ทุ่งเงินกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.09 แสนล้านบาท) ในการทำตลาดสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม เพื่อเจาะตลาดเด็กและวัยรุ่นสหรัฐโดย 4 ใน 10 ของสินค้าอาหารและเครื่องดื่มยอดฮิตเป็นสินค้าที่เด็กวัย 8-12ปี บอกว่า พวกเขาสามารถซื้อเองได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากพ่อแม่ก่อน
ทอม ฮาร์กิน วุฒิสภาจากมลรัฐไอโอวา ของพรรคเดโมแครต กลับกล่าวว่า ผลการศึกษาข้างต้นไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจอะไรมากนัก
เราชอบคิดว่าบรรดาตัวการ์ตูนที่ปรากฏอยู่ในโทรทัศน์มีความน่ารักและท่าทางที่เป็นมิตร ทว่าในขณะเดียวตัวการ์ตูนเหล่านี้ก็ ถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อทำร้ายเด็กๆ โดยการชักจูงให้เลือกบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ฮาร์กิน กล่าว พร้อมทิ้งท้ายด้วยการเรียกร้องให้บรรดาผู้ผลิตสื่อต่างๆ หยุดส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ไม่มีคุณค่าสารอาหารให้แก่เด็กๆ เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้แก่อนาคตของชาติในระยะยาว |