โรคมะเร็ง และโรคเอดส์ เป็นโรคร้ายที่ยังไม่มีตัวยาใดรักษาให้หายได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ได้ใช้ความพยายาม ในการค้นคว้าหาสารเคมี หรือสมุนไพร ที่จะนำมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคร้ายนี้ ซึ่งนักวิชาการคนไทย ก็ได้พยายามทำการวิจัย พัฒนาสารต้านมะเร็ง และเชื้อเอชไอวี จากพืชสมุนไพรของไทย และก็ประสบความสำร็จเป็นที่น่าพอใจอย่างมา
เมื่อศาสตราจารย์ ดร.วิชัย ริ้วตระกูล อาจารย์ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เป็นตัวแทนของคณะวิจัย ในโครงการพัฒนาสารต้านมะเร็ง และเชื้อเอชไอวี จากพืชสมุนไพรในป่าเขตร้อน โดยได้นำความคืบหน้าของการวิจัย มานำเสนอต่อนักวิชาการ และประชาชนทั่วไป ซึ่งคณะวิจัยเรื่องนี้ มีทั้งหมด 10 ท่านด้วยกัน ประกอบด้วยอาจารย์ จากคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล , คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหอพันธุ์ไม้ กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้รับการสนับสนุน จากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เพื่อวิจัย ค้นหาสารที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และเชื้อเอชไอวี จากสมุนไพรของไทย เพราะนักวิชาการทุกท่าน เชื่อว่า สมุนไพรที่มีอย่างมากมายนั้น จะต้องมีสารบางชนิด ที่สามารถยับยั้งสารก่อมะเร็ง และเชื้อไวรัสเอดส์ได้ ซึ่งตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา นักวิชาการทุกท่าน ได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจในการวิจัย
เริ่มจากการเก็บตัวอย่างพันธุ์พืช จากป่าเขตร้อนของประเทศไทย อย่างเช่น ป่าห้วยขาแข้ง จังหวัดอุทัยธานี และอีกหลายป่าไม้ในจังหวัดเชียงใหม่ และภาคเหนือ รวมทั้งหมด 69 สปีชีส์ หลังจากนั้น นำมาสกัดสารจากส่วนต่างๆ ตั้งแต่ราก, ต้น, ใบ, ดอก และผล รวมถึงยังได้ทดลองอีกหลายขั้นตอน ซึ่งกว่าจะได้ผลเป็นที่พอใจ ต้องใช้ความอดทนมาก แต่ในที่สุดก็ประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง โดยพบว่า มีพันธุ์พืชในป่าเขตร้อนของไทย 4 สปีชีส์ ที่มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง และยับยั้งการทำงานของเอชไอวี สำหรับ 4 สปีชีส์ที่ว่า จะมีศัพท์ทางพฤษศาสตร์ ซึ่งยังไม่มีชื่อจำกัดเป็นภาษาไทย และยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่มีอยู่พันธุ์หนึ่งที่พอจะคุ้นชื่ออยู่บ้าง ซึ่งก็ คือพืชในตระกูล "คาดิเนีย" หรือ "พุด" ซึ่งหลังจากประสบผลสำเร็จในห้องทดลองแล้ว ต่อไปก็จะมีการขยายผลอย่างต่อเนื่อง โดยมีความเป็นไปได้ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ทางคณะผู้วิจัย จะสามารถสังเคราะห์สารที่เห็นผลต้านเซลล์มะเร็ง และยับยั้งเชื้อเอชไอวี ได้อย่างชัดเจน
นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก สำหรับความสามารถของนักวิจัยคนไทย และเป็นข่าวดี สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับโรคร้ายนี้ด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการทำให้ทั่วโลก ได้เห็นถึงสรรพคุณของสมุนไพรไทยได้ด้วย |