ไข้เลือดออก มหันตภัยร้ายใกล้ตัวคุณ




 




 

ไข้เลือดออก เป็นมาอย่างไร !

            ไข้เลือดออกเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยมานานแล้วและยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้น เมื่อ คศ.1970 มีการระบาดของไข้เลือดออกเป็นครั้งคราว 9 ประเทศ ในปัจจุบันมีการระบาดเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมาไข้เลือดออกเป็นโรคประจำถิ่นของประเทศมากกว่า 100 ประเทศในแถบแอฟริกา อเมริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ western pacific โดยมีความรุนแรงมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ western pacific

   




ไข้เลือดออก เกิดได้อย่างไร....!

            โรคไข้เลือดออกเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ชื่อ เเดงกี่ และ มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดย ยุงลาย( Aedes aegyti ) ตัวเมีย บินไปกัดคนที่ป่วยเป็นไข้เลือดออกก็จะได้รับเชื้อไวรัสแดงกี่จากคนที่ป่วยเชื้อจะอยู่ในร่างกายคน  ประมาณ 2-7 วันในช่วงที่มีไข้ หากยุงกัดคนในช่วงนี้ก็จะรับเชื้อไวรัสมาแพร่ให้กับคนอื่น โดยเฉพาะช่วงที่มีไข้สูง  หลังจากนั้นเชื้อไวรัสแดงกี่จะเพิ่มจำนวนในตัวยุง ประมาณ 8-10 วัน เชื้อไวรัสแดงกี่จะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง   เมื่อยุงไปกัดคนอื่นก็จะแพร่เชื้อสู่คนอื่นๆต่อไปซึ่งยุงจะไปกัดคนอื่น ๆ ในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร * รายละเอียด *



ไข้เลือดออก เกิดในช่วงไหน...!

            โรคนี้ระบาดในฤดูฝนหรือช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน ยุงลายชอบออกหากินในเวลากลางวัน ตามบ้านเรือน และโรงเรียนมักหลบซ่อนตัวในที่มืด ชอบวางไข่ตามภาชนะที่มีน้ำขัง(น้ำนิ่ง) เช่น ยางรถยนต์ กะลา กระป๋อง จานรองขาตู้กับข้าว จานรองกระถางต้นไม้ แต่ไม่ชอบวางไข่ในท่อระบายน้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง ที่มีน้ำไหลตลอดเวลา



ทำไมผู้ปกครองต้องระวัง !

            ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้เลือดออกอาจจะไม่มีอาการ  หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย  หรืออาจจะเกิดอาการรุนแรงจนเสียชีวิต เมื่อหายร่างกายจะมีภูมิต่อเชื้อนั้นตลอดชีวิต แต่เนื่องจากปัจจุบันเชื้อโรคมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน ดังจะเห็นจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ในส่วนของความรุนแรงของการติดเชื้อจะขึ้นกับอายุ ภาวะภูมิคุ้มกัน และความรุนแรงของเชื้อ



จะรู้ได้อย่างไรว่า...ลูกป่วย....เป็นไข้เลือดออก



อาการของไข้เลือดออกไม่จำเพาะอาการมีได้หลายอย่างในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ผู้ใหญ่อาจจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ หากไม่คิดโรคนี้อาจจะทำให้การรักษาช้า ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิต ลักษณะที่สำคัญของไข้เลือกออกคือ



• ไข้สูงเฉียบพลันถึง 38 – 40 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-7 วัน
• เบื่ออาหาร หน้าแดง ปวดศีรษะ ร่วมกับอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาจมีอาการปวดท้อง
• บางรายอาจมีจุดเลือดสีแดงขึ้นตามลำตัว แขน ขา อาจมีกำเดาออก หรือเลือดออกตามไรฟัน และถ่ายอุจาระดำเนื่องจากเลือดออก และอาจทำให้เกิดอาการช็อคได้ ในรายที่ช็อคจะสังเกตได้จากการที่ไข้ลดแต่ผู้ป่วยซึมลง ตัวเย็น ไม่รู้สึกตัวหมดสติและเสียชีวิตได้ * รายละเอียด *


ไข้เลือดออกเป็นเฉพาะเด็กจริงหรือ...!

            โรคไข้เลือดออกสามารถเป็นได้ในทุกเพศและวัย สามารถรักษาให้หายได้หากมารับการรักษาเร็ว อาการทั่วไปทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ไม่แตกต่างกัน คือมีไข้สูงมาก กินยาแล้วไข้ไม่ลด อาจมีจุดเลือดออกเล็ก ๆ สีแดงที่ผิวหนังกระจายตามตัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน แต่ในผู้ใหญ่มักจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดกระบอกตามาก และมักเป็นรุนแรงกว่าเด็ก เนื่องจากมาพบแพทย์ช้า มักใช้ยาแก้ปวดลดไข้ที่มีฤทธิ์แรงจนระคายเคืองและมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร นอกจากนั้น เมื่อไข้เริ่มลดคนส่วนใหญ่คิดว่ากำลังจะหายป่วย จึงไม่ไปพบแพทย์ แต่สำหรับไข้เลือดออก ในระยะที่ไข้ลดลงจะเป็นช่วงที่อันตรายมาก หากไม่ไปพบแพทย์ภายใน 10-12 ชั่วโมง อาจเกิดอาการช็อก มีอาการตับวาย ไตวายแทรกซ้อน จนเสียชีวิตได้


ดูแลอย่างไรเมื่อลูกเป็นไข้เลือดออก….!


1. ให้ผู้ป่วยพักผ่อนในที่ๆมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก

2. เช็ดตัวด้วยน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นบ่อยๆ โดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วบิดพอหมาดๆ ลูบเบาๆบริเวณหน้า ลำตัว แขน และขา แล้วพักไว้บริเวณหน้าผาก ซอกคอ รักแร้ แผ่นอก แผ่นหลัง และขาหนีบ ทำติดต่อกันอย่างน้อยนาน 15 นาทีเสร็จแล้วเช็ดตัวให้แห้ง แล้วให้ผู้ป่วยสวมเสื้อผ้าที่ไม่หนามาก หรือห่มผ้าบางๆ นอนพักผ่อน ระหว่างการเช็ดตัวถ้าผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่นให้หยุดเช็ด แล้วให้ผู้ป่วยห่มผ้า พอหายหนาวสั่นจึงค่อยเช็ดต่อ

3. ให้รับประทานยาลดไข้พาราเซทตามอลเวลามีไข้สูง ตัวร้อนจัด หรือปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวมาก โดยให้ห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ห้ามรับประทานยาลดไข้ชนิดอื่นโดยเฉพาะยาแอสไพริน ยาซองลดไข้ทุกชนิดหรือยาพวกไอบรูโพรเฟน เพราะอาจจะทำให้เลือดออกมากผิดปกติหรือตับวายได้

4. ห้ามฉีดยาเข้ากล้ามและไม่รับประทานยาอื่นที่ไม่จำเป็น หมายเหตุ ในระยะไข้สูงของโรคไข้เลือดออก การให้ยาลดไข้ จะช่วยให้ไข้ลดลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดฤทธิ์ยาแล้วไข้ก็จะสูงขึ้นอีก อาการไข้ไม่สามารถลดลงถึงระดับปกติได้ การเช็ดตัวลดไข้ จะช่วยให้ผู้ป่วยสุขสบายขึ้น

5. ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) หรือน้ำผลไม้ใส่เกลือเล็กน้อย ถ้ามีคลื่นไส้อาเจียน ไม่สามารถดื่มน้ำได้ ให้จิบครั้งละน้อยๆ บ่อยๆ ไม่ควรดื่มแต่น้ำเปล่าอย่างเดียว อาหารควรเป็นอาหารอ่อน ย่อยง่าย รสไม่จัด เช่น นม ไอศกรีม ข้าวต้ม เป็นต้น ควรงดเว้นอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีแดง ดำ หรือสีน้ำตาล

6. มาพบแพทย์ตามนัด เพื่อตรวจเลือด




เมื่อใดจึงจะรู้ว่าลูกปลอดภัย....!

            สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิด คือคิดว่าจะรู้ตัวว่าเป็นไข้เลือดออกก็ต่อเมื่อเริ่มพบผื่นแดงตามแขนขาและลำตัว นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ผู้ป่วยมาพบแพทย์ช้า เพราะอันที่จริงแล้วอาการผื่นแดงที่พบนั้นมักจะพบในระยะฟื้นตัว หรือเรียกว่าใกล้จะหายแล้วนั้นเอง ซึ่งจะพบหลังระยะมีไข้และระยะวิกฤติ นอกจากอาการผื่นแดงที่ส่งสัญญาณดีแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการโดยทั่วไปดีขึ้น กำลังวังชาตามา ปัสสาวะมากขึ้น ดื่มน้ำกินอาหารได้มากขึ้น ในบางรายจะมีอัตราการเต้นของหัวใจลดลง ในระยะนี้แม้ว่าผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น แต่ว่าจำนวนเกร็ดเลือดนั้นจะเพิ่มขึ้นสู่สภาวะปกติ ต้องใช้เวลา 3-7 วัน จึงยังต้องระวังภาวะเลือดออกต่อไปอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์ ควรระมัดระวังไม่ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่ออาการเลือดออกอย่างเช่น การแคะจมูก การแปรงฟัน และการเล่นกีฬาที่อาจกระทบกระเทือนตับซึ่งอยู่บริเวณใต้ชายโครงขวา





โลกร้อนเกี่ยวกับไข้เลือดออกอย่างไร !

            กระทรวงสาธารณสุข นพ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยถึงสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดจากภาวะโลกร้อนว่า จากการประชุมประเมินสถานการณ์การระบาดของโรคติดต่อในภาวะโลกร้อนในระดับนานาชาติ เมื่อเร็วๆนี้ มีความกังวลถึงผลกระทบด้านสุขภาพที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน เนื่องจากอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การฟักตัวของเชื้อโรคและศัตรูพืชที่เป็นอาหารของมนุษย์บางชนิด

 


            ทั้งนี้โรคที่ฟักตัวได้ดีในสภาพร้อนชื้นของโลก มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นภายในระยะเวลา 10-20 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากยุงเป็นพาหะ เช่น ไข้เลือดออก มาลาเรีย รวมทั้งโรคจากอาหารและน้ำ เช่น อหิวาตกโรค ไทฟอยด์ บิด อาหารเป็นพิษ เป็นต้น นอกจากนี้สภาพอากาศที่ร้อนชื้นยังทำให้แบคทีเรียในอากาศมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ โอกาสในการแพร่ระบาดสูง และในอนาคตมีความเป็นไปได้ว่า โรคเหล่านี้ หากไม่รีบรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ อาจมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 60%

            นพ.ธวัช กล่าวต่อว่า สำหรับโรคไข้เลือดออก ถือว่าเป็นโรคที่ต้องจับตามองมากที่สุด เพราะนอกจากจะยังไม่มียาหรือวัคซีนในการรักษาแล้ว ปัจจุบัน ยังพบว่ายุงลายซึ่งเป็นพาหะสำคัญของโรค ซึ่งเคยออกหากินในเวลากลางวัน ได้เปลี่ยนมาออกหากินในเวลาพลบค่ำด้วย มีการศึกษาพฤติกรรมการหากินของยุงลายจากเดิมที่จะหากินในช่วงเวลากลางวัน ก็ขยายเวลาไปถึง 5 ทุ่ม ทำให้ยากต่อการป้องกันหรือวินิจฉัยโรค เพราะที่ผ่านมา ยุงที่หากินในช่วงหัวค่ำไปจนถึงดึกนั้นส่วนใหญ่จะเป็นยุงรำคาญ แต่ตอนนี้ไม่สามารถระบุได้เพราะในช่วงหัวค่ำถึงกลางดึกยุงลายก็ออกหากินเหมือนกัน ประชาชนจึงควรจะระมัดระวังไม่ให้ยุงกัด ทุกช่วงเวลาจะปลอดภัยที่สุด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาของ ภาควิชาปรสิตวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงการเปลี่ยนแปลงชีวนิสัยของยุงลายภายหลังเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในธรรมชาติ พบว่า ยุงลายตัวผู้ ซึ่งปกติจะไม่กินเลือดคน แต่จะกินน้ำหวานจากพืช กลับพบว่า มีเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไข้เลือดออก ทำให้สงสัยว่ายุงลายตัวผู้ได้เชื้อนี้มาจากแหล่งใด ในเมื่อไม่กินเลือดคน

            นพ.ธวัช กล่าวอีกว่า ได้มีการศึกษาต่อเนื่อง ทำให้ทราบว่า ยุงลายตัวผู้น่าจะได้รับเชื้อนี้มาจากแม่ยุงลายที่ติดเชื้อผ่านทางไข่ และยุงลายตัวผู้ที่ติดเชื้อก็สามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสเดงกีไปยังตัวเมียที่มาผสมพันธุ์ได้ ซึ่งในธรรมชาติยุงตัวผู้ผสมพันธุ์ได้หลายครั้งจึงมีโอกาสแพร่เชื้อได้มาก และตัวเมียที่ได้รับเชื้อมาจากตัวผู้ก็สามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสเดงกีที่ได้รับจากตัวผู้ไปให้กับลูกได้ แต่ยุงลายตัวเมียจะไม่สามารถถ่ายทอดเชื้อนี้ให้กับยุงลายตัวผู้ที่มาผสมพันธุ์ได้ ดังนั้น จึงอาจเป็นไปได้ว่าไวรัสเดงกีถ่ายทอดผ่านน้ำเชื้อของยุงลายตัวผู้

            นอกจากนี้ ยังมีการตรวจพบเชื้อไวรัสเดงกีในลูกน้ำยุงลายอีกด้วย แต่ที่น่าสนใจก็คือ หลังจากที่ผู้ศึกษาได้สกัดเอาเชื้อไวรัสเดงกีที่อยู่ในตัวยุงลายตัวผู้ออกมาศึกษาด้วยวิธี อาร์ที-พีซีอาร์ (RT-PCR) ซึ่งเป็นวิธีการตรวจแบบพิเศษก็พบว่ายุงลายตัวผู้บางตัวมีเชื้อไวรัสเดงกี 2 สายพันธุ์ในตัวเดียวกัน ซึ่งถือว่าอันตราย จำเป็นต้องมีการศึกษาต่อไปอีกว่า เชื้อไวรัสชนิดนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อไปหรือไม่ เพื่อหาแนวทางควบคุมการระบาดของไข้เลือดออก รวมถึงการกำจัดและควบคุมยุงลายทั้งปี ไม่ใช่รอให้มีการระบาดก่อนแล้วค่อยมากำจัดยุงลายหรือลูกน้ำยุงลายทีหลัง



วัคซีนป้องกันไข้เลือดออก

            ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังดำเนินการพัฒนาวัคซีนไข้เลือดออกให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละประเทศ ในประเทศไทยเองมีหน่วยปฏิบัติการเทคโนชีวภาพทางการแพทย์ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างคณะแพทย์ศิริราชพยาบาล และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ ได้พยายามคิดค้นนวัตกรรมการป้องกันไข้เลือดออกเป็นเวลาหลายสิบปี นับตั้งแต่ค้นคว้าจนพบความรู้ใหม่ พัฒนาเทคนิควิธีการตรวจวินิจฉัยโรคเพื่อความแม่นยำและรวดเร็ว ตลอดจนพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกที่สามารถจะนำมาใช้กับคนไทยในระยะเวลาอีกไม่นานนัก ในเรื่องความหวังของการมีวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคไข้เลือดออก ไทยได้จัดตั้งศูนย์วิจัยพัฒนาวัคซีน มหาวิทยาลัยมหิดล มาตั้งแต่ พ.ศ. 2527 และได้ค้นคว้าการพัฒนาการผลิตวัคซีนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้คิดค้นวัคซีนไข้เลือดออกกล่าวว่า อีกไม่เกิน 1- 2 ปี วัคซีนป้องกันไข้เลือดออกทั้ง 4 สายพันธุ์ * รายละเอียด *จะสำเร็จ แค่ฉีดยาเข็มเดียวสามารถป้องกันเชื้อได้ทั้งหมด ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทดสอบความปลอดภัย



สถานการณ์ไข้เลือดออก

            สำหรับสถานการณ์ไข้เลือดออกทั่วประเทศในปีนี้ จากรายงานสำนักระบาดวิทยา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 16
มิถุนายน 2550 พบว่า จังหวัดกว่าร้อยละ 50 ของประเทศมีผู้ป่วยไข้เลือดออกเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ป่วยสะสมทั้งหมด 16,167 ราย เสียชีวิตแล้ว 15 ราย เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 2,556 ราย จำนวนผู้ป่วยสูงกว่าช่วงเดียวกันในปี 2549 ร้อยละ 30 ที่น่าเป็นห่วงคือเพียง 2 สัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน 2550 พบผู้ป่วยแล้ว 2,676 ราย โดยในช่วงเดือนพฤษภาคมจนถึงสิงหาคมจะเป็นช่วงที่พบผู้ป่วยสูงทุกปี ซึ่งปีนี้ผู้ป่วยกลุ่มใหญ่ที่สุดคือเด็กวัยเรียนอายุ 5-14 ปี ร้อยละ 53 รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 15-24 ปี ร้อยละ 24 และกลุ่มวัยทำงาน อายุ 25-34 ปี ส่วนผู้ใหญ่อายุ 35 ปีขึ้นไปป่วยแล้วกว่า 1,000 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากมักซื้อยารับประทานเอง และปล่อยจนมีอาการหนักจึงไปพบแพทย์ เสี่ยงต่อภาวะช็อกและเป็นอันตรายถึงชีวิต



จะ....ป้องกันไข้เลือดออกอย่างไรดี ?

การป้องกันง่ายๆ มีอยู่ 2 แนวทางคือ

• อย่างแรก “ถ้าไม่มียุงลาย ก็ไม่มีโรคไข้เลือดออก” เพราะคนที่เป็นไข้เลือดออกไม่สามารถมากัดเพื่อแพร่เชื้อสู่เราได้
• ส่วนการป้องกันอีกทางหนึ่งนั้นก็คือ “ไม่โดนยุงลายกัด ก็ไม่เป็น” ดังนั้นจึงควรนอนกางมุ้งหรือจะหาอะไรครอบคลุมก็ตาม แต่อย่าให้ยุงกัดได้ และควรอยู่ในที่ที่มีแสงสว่างและอากาศถ่ายเทสะดวก * รายละเอียด *



ทำไมต้องกำจัดแหล่งยุงลายทุก 7 วัน ?






            จากภาพวงจรชีวิต จะเห็นว่าวงจรชีวิตของยุงลายจากไข่มาเป็นลูกน้ำใช้เวลา 2-3 วัน จากลูกน้ำมาเป็นตัวโม่งใช้เวลา 4 - 5 วัน จากตัวโม่งมาเป็นตัวเต็มวัยใช้เวลา 1- 2 วัน ดังนั้นรวมแล้วใช้เวลาทั้งหมดในวงจรชีวิต 7-10 วัน และอีกเหตุผลก็คือทำให้สะดวกต่อการปฏิบัติดังตัวอย่างเช่น สมมติว่าเปลี่ยนน้ำในแจกันวันเสาร์ พอถึงวันเสาร์หน้าก็เป็นวันกำหนดที่ต้องเปลี่ยนน้ำอีกครั้งหนึ่ง หรืออย่างเช่นที่กระทรวงสาธารณสุขออกมารณรงค์กำจัดลูกน้ำยุงลายทุกวันศุกร์นั่นเอง นี่จึงเป็น 2 เหตุผลให้เปลี่ยนน้ำหรือกำจัดแหล่งยุงลายตามแจกันดอกไม้ที่ต้องใส่น้ำทุก 7 วันนั่นเอง



ไข้เลือดออกก็มี เรื่องดีๆ เหมือนกันนะ

            ถึงโรคนี้จะอันตรายและติดต่อกันง่าย แต่อย่างน้อยๆ โชคดี ก็คือโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ซ้ำซากนั้นมีน้อย เพราะ การติดเชื้อครั้งในครั้งแรกและครั้งต่อๆมา จะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันในสายพันธ์อื่นๆ เพิ่มมากขึ้น จนถึงระดับที่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ เราจึงมักพบผู้ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกไม่เกินสองครั้ง




เรียบเรียงโดย :  ตวงทิพย์ ธีระวิทย์ สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ
แหล่งที่มา :  - กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ”โรคไข้เลือดออก”
   ค้นคว้าวันที่ 25 มิย.2550
   http://www.thaivbd.org/cms/index.php

 - กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข “แหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย”
   ค้นคว้าวันที่ 28 มิย.2550
   http://www.thaivbd.org/cms/index.php?option=com_content
   &task=view&id=41


 - คุณบัวอื่น .ศูนย์ควบคุมไข้เลือดออก กองควบคุมโรคสำนักอนามัย
   กรุงเทพมหานคร”ไข้ เลือดออก...เพชฌฆาตหน้าฝน”แผ่นพับประชา
   สัมพันธ์โรคไข้เลือดออก”
   ค้นคว้าวันที่ 23 มิย.2550
   http://www.vcharkarn.com/include/article/showarticle.php?
   Aid=370


 - จับตาไข้เลือดออกมีเชื้อไวรัสเดงกี.ผู้จัดการออนไลน์. 8 ธค.2550.

 - ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา[และคณะ]. 2550.“ การพัฒนาวัคซีน
   ป้องกันไข้เลือดออกใกล้สำเร็จ” บทความทางวิชาการประกอบ
   รายงานสุขภาพคนไทย 2550.สถาบันวิจัยประชากร และสังคม
   มหาวิทยาลัยมหิดล.

 - โรคไข้เลือดออก ค้นคว้าวันที่ 27 มิย.50
    http://www.siamhealth.net/Disease/infectious/dhf.htm

 - โลกร้อนกับไข้เลือดออก.ประชาไทย.25 พค.2550

 - ส่งคณะแพทย์สอบสวนไข้เลือดออกบ้าน”นาเดีย” พบแหล่งยุงลาย
   เพียบ.ผู้จัดการออนไลน์. 22 มิย.2550

 - สถานการณ์น่าห่วง ไข้เลือดออก ลามทั่วเอเชีย.สำนักข่าวชาว
   บ้าน.11 มิย.2550

 - สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข
   “แนวทางการดำเนินงาน ป้องกันและควบคุม โรคไข้เลือดออกปี
   2550”  ค้นคว้าวันที่ 25 มิย.2550
   http://dhf.ddc.moph.go.th/project/project50/prevent2550.doc

 - ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ “ไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุง”
   ค้นคว้าวันที่ 23 มิย.2550
   http://women.sanook.com/health/healthcare/sick_11441.php

 - อย่าให้คนที่รักต้องจากไปเพราะไข้เลือดออก
   http://hospital.moph.go.th/takuapah/healthcare/dhf.htm

 
แหล่งที่มา :  - สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
   http://dhf.ddc.moph.go.th/

 - กองควบคุมโรคสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร
   http://203.155.220.217/office/doh/index.html




 












หน้าแรก | เกี่ยวกับแผนงาน | เครือข่ายและกิจกรรม | ผลผลิตและรายงาน | ข้อมูลสถิติ | การจัดการความรู้ | หน่วยงาน | ติดต่อแผนงาน | เจ้าหน้าที่ดูแลระบบ
แนะนำแผนงาน | ข่าวกิจกรรม | เกาะติดกิจกรรมเด่น | หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | ผลผลิตและรายงาน| รายงานสุขภาพ| ก้าวใหม่กับ HISO | สถานการณ์สุขภาพประเทศไทย
การวิเคราะห์สถานการณ์สุขภาพ | สถานการณ์ข่าวสุขภาพ | เรื่องเล่าข่าวสุขภาพ | สื่อข้อมูลสุขภาพ | แบบสำรวจสุขภาพ | webbord | คำถามที่พบบ่อย | สมุดเยี่ยมชม | บริการข้อมูล