สรุปบทเรียนการศึกษาการถ่ายโอนสถานีอนามัย(สอ.) ไปยังองค์การบริหารส่วนตำบล/เทศบาล
วันที่ 17 กันยายน 2551 เวลา 8.30-16.30 น. ณ ห้องประชุม 801 อาคารตึกกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
|
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ดำเนินการศึกษาการถ่ายโอนสถานีอนามัย (สอ.) ไปยังองค์การบริหารส่วนตำบล/เทศบาลนั้น ในวันนี้สวรส.จึงได้เชิญเจ้าหน้าที่สถานีอนามัยและเจ้าหน้าที่จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แต่ละแห่ง แต่ละระดับ เข้าร่วมการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์
ในการนี้ คุณพงษ์พิสุทธิ์ จิตโสภณ ผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นประธาน และกล่าวเปิดการประชุมซึ่งมีใจความสำคัญว่า |
| หน่วยงานสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นที่น่ายินดีที่กระทรวงสาธารณสุขกับสวรส. จัดให้มีการประชุมสรุปบทเรียนการถ่ายโอนสถานีอนามัยไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ท่านที่มาประชุมในวันนี้ส่วนหนึ่งมาจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งคงจะเข้าใจดีว่าการบริหารส่วนท้องถิ่นนั้นถือเป็นงานอันดับแรกในการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน เพราะเป็นการทำงานที่ใกล้ชิดกับประชาชน และรู้ว่าปัญหาในท้องถิ่นเป็นอย่างไร ซึ่งการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองก็ต้องเริ่มต้นจากการทำความรู้เข้าใจกับปัญหาท้องถิ่น ถึงแม้ว่ารูปแบบการกระจายอำนาจนั้นจะมีหลายรูปแบบ แต่ผลลัพธ์ที่คาดหวังไว้ก็คือ ต้องสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ให้ได้ และเพื่อให้การถ่ายโอนสอ.ไปสู่อปท.เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างสูงสุด ทางกระทรวงสาธารณสุขจึงได้ให้สวรส.ทำการประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อรวบรวมข้อมูลและประเด็นปัญหาส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการที่ดี | |
สำหรับการสรุปบทเรียนครั้งนี้ สวรส.ได้มอบหมายให้อาจารย์สมพันธ์ เตชะอธิก และทีมวิจัย จากคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำการศึกษาติดตามและสรุปบทเรียนจากสถานีอนามัย 22 แห่งที่ได้ถ่ายโอนไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งผลการประเมินคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนตุลาคม
อย่างไรก็ตาม จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ของพื้นที่แต่ละพื้นที่ ส่วนใหญ่มีความคาดหวังที่ตรงกันว่า เมื่อถ่ายโอนสอ.ไปยังอปท.แล้วจะมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ประชาชนได้รับบริการที่ดีที่ตรงกับความต้องการ แต่อยากให้งานที่ทำเลิกผูกติดกับตัวชี้วัด สำหรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ในส่วนที่ดี พบว่า ผลการทำงานที่ออกมาตรงกับความต้องการของประชาชน ส่วนที่ไม่ดีพบว่า ความก้าวหน้าไม่มี เนื่องจากระเบียบข้อบังคับของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยแตกต่างกัน ดังนั้นสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นก็คือ การเตรียมความพร้อมทั้งการรองรับอัตรากำลังคน และอยากให้แก้ไขระเบียบข้อบังคับที่ยังเป็นปัญหาต่อการทำงานในปัจจุบันด้วย |
|
|