นายสุรเชษฐ์ มาศดิตถ์ ประธานคณะกรรมมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ กล่าวเปิดการประชุมโดยมีเนื้อหาโดยสรุปดังนี้ วัตถุประสงค์ของการประชุมในครั้งนี้ เพื่อให้ทุกภาคส่วนเห็นประโยชน์และมีส่วนร่วมในการทำสำมะโนประชากรของประเทศไทย ในการรณรงค์ผลักดันให้ผู้บริหารประเทศ ผู้มีส่วนในการกำหนดนโยบายการผลักดันขับเคลื่อนนโยบายและโครงการต่างๆ ที่ส่งผลให้ประเทศก้าวหน้าพัฒนาต่อไป และเพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจ และเห็นประโยชน์ของการทำสำมะโนและเคหะ 2553 การทำสำมะโนประชากรเป็นโครงการที่ถูกจัดทำอย่างต่อเนื่อง มานานนับเป็น 100 ปี ในประเทศต่างๆ มากกว่า 200 ประเทศ ประเทศที่ทำสำมะโนประชากรเป็นครั้งแรกคือ ประเทศแคนาดา เมื่อปี ค.ศ. 1666 ซึ่งเป็นเวลา 343 ปีมาแล้ว ส่วนประเทศไทยได้จัดทำสำมะโนประชากรมาแล้ว 10 ครั้ง ในครั้งแรกทำเมื่อ ปี พ.ศ. 2452 และในปี พ.ศ. 2553 เป็นการทำสำมะโนครั้งที่ 11 และถือเป็นการทำสำมะโนครบ 100 ปี ในการนับจำนวนผู้คนทั้งหมดที่อาศัยในราชอาณาจักรไทย รวมทั้งการแจกแจงว่าผู้คนเหล่านั้น มีคุณลักษณะอย่างไร มีการกระจายตัวอยู่ที่ไหนในประเทศไทย การแจกนับคนทั้งหมดที่อยู่ในประเทศไทยนี้ เรียกว่า "การทำสำมะโนประชากร" ซึ่งเสมือนเป็นการฉายภาพนิ่งทั้งประเทศในเวลาเดียวกันคือ 1 กรกฎาคม 2553 ประชากรกลุ่มที่สำคัญที่รัฐบาลต้องดูแลและให้ความสนใจ คือ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุและผู้พิการ ซึ่งข้อมูลการทำสำมะโนและเคหะ สามารถสะท้อนภาพลักษณะทางประชากร เศรษฐกิจ สังคม คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของกลุ่มคนเหล่านี้ ดังนั้น ผู้บริหารประเทศ ภาคราชการ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลที่ได้ในการวางแผนช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสได้ตรงกับสภาพปัญหาที่แท้จริง ของแต่ละกลุ่ม ในแต่ละพื้นที่ ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนั้นการทำสำมะโนประชากรและเคหะในปี 2553 จะได้มีข้อมูลสะท้อนข้อเท็จจริงของประชากรทั้งประเทศ ในพื้นที่ต่างๆในระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เทศบาลและอบต. ที่ใช้ในการบริหารประเทศให้เจริญก้าวหน้าและประชาชนอยู่ดีมีสุขต่อไป อบการตัดสินใจในการ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร (ประธานในที่ประชุม) ได้กล่าวถึง การประชุมในครั้งนี้ เป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ ในการที่ประเทศต้องทำสำมะโนประชากรและเคหะ ประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำสำมะโนประชากรและเคหะ และประชาชนทุกคนจะมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยได้อย่างไร ประเทศไทยได้จัดทำสำมะโนประชากรมาแล้ว 10 ครั้ง ทำสำมะโนประชากรและเคหะมาแล้ว 4 ครั้ง และในการทำสำมะโนประชากรและเคหะในปี พ.ศ. 2553 จะเป็นครั้งที่ 5 จะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติ เกี่ยวกับจำนวน และลักษณะข้อมูลทางประชากรทุกคนในครัวเรือน ณ ที่อยู่ปกติ ในวันที่จัดทำสำมะโนประชากรและเคหะ อันจะทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรที่อาศัยอยู่จริงตามพื้นที่ต่างๆในประเทศไทย ในทุกระดับตั้งแต่ระดับ หมู่บ้าน ตำบล/เทศบาล อำเภอ และจังหวัด ซึ่งข้อมูลที่ได้จะนำมาช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหารระดับต่างๆ ในการวางแผนนโยบายและโครงการต่างๆ เพื่อให้สามารถลงลึกไปถึงระดับท้องถิ่น ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และเป็นธรรม ซึ่งส่งผลให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ตลอดจนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ ในการประเมินผลจากพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ใช้ในการบริหารจัดการและประเมินโครงการต่างๆ ทั้งในด้านการพัฒนาครอบครัว ที่อยู่อาศัย การศึกษา สุภาพ การคมนาคมขนส่ง และพัฒนาเมือง/ชนบท อีกทั้งภาคเอกชนยังสามารถนำข้อมูลจากสำมะโนประชากรและเคหะ ไปใช้ในการตัดสินใจในการประกอบธุรกิจสาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตสินค้าและบริการ ข้อมูลจากสำมะโนประชากรและเคหะสามารถนำไปใช้กำหนดนโยบายในการพัฒนาประเทศ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตลอดทั้งคุณภาพชีวิตของประชากรให้ดีขึ้น การกล่าวปาฐกถานำเรื่อง "สำมะโนประชากร 2553 สำคัญอย่างไรต่อรัฐบาลและต่อสังคมไทย" โดย ศาสตราจารย์ ดร.กนก วงศ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดยสรุปได้ดังนี้ ประเทศไทยเริ่มทำสำมะโนประชากรสมัยใหม่ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 โดยการนับจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างๆทั่วราชอาณาจักร และแจกแจงว่าเป็นใครบ้าง เช่น มีผู้ชาย ผู้หญิง จำนวนเท่าไร อายุเท่าไร เป็นคนชาติพันธุ์อะไรบ้าง และนำเสนอรายงานอย่างเป็นทางการ การนับจำนวนคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างๆ สมัยนั้นเรียกว่า "การทำบัญชีพลเมือง" ในปี พ.ศ.2448 แต่การนับพลเมืองครั้งแรกสามารถทำได้ในพื้นที่บางส่วนคือ ในเขตบริหาร 12 มณฑลจาก 17 มณฑล ที่สังกัดกระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2452 ได้เริ่มนับจำนวนประชากรอีกครั้งให้ครบทุกมณฑล ซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ปี กล่าวคือ เริ่มนับพลเมืองในมณฑลกรุงเทพฯ ซึ่งสังกัดกระทรวงนครบาล สำรวจเสร็จในปี พ.ศ.2453 ที่เหลืออีก 17 มณฑล สังกัดกระทรวงมหาดไทย นับเสร็จในปี พ.ศ.2454 เรียกจำนวนประชากรรวมนี้ว่า "ยอดบัญชีพลเมืองทั่วราชอาณาจักร" ซึ่งนับได้ 8.1 ล้านคน (เป็นจำนวนประชากรที่นับได้อย่างเป็นทางการครั้งแรก) นั่นคือ "การจัดทำสำมะโนประชากรครั้งแรก" ซึ่งในปี พ.ศ. 2553 เป็นการทำสำมะโนครั้งที่ 11 และถือเป็นการทำสำมะโนครบ 100 ปี โดยจัดทำทุกๆ 10 ปี สำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการทำสำมะโนประชากรตั้งแต่ครั้งที่ 6 พ.ศ.2503 และในครั้งที่ 7 ก็เริ่มทำการสำรวจเคหะเพิ่มขึ้นมา เป็นการทำสำมะโนประชากรและเคหะ และในครั้งต่อไปมีกำหนดการจัดทำระหว่างวันที่ 1 - 31 กรกฎาคม 2553 โดยคาดหวังว่าจะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้อง เพื่อเป็นหลักฐานทางประว้ติศาสตร์ว่า ประชากรไทยในปี พ.ศ.2553 มีจำนวนเป็นเท่าไร คนเหล่านี้มีคุณลักษณะอย่างไร มีการกระจายตัวอยู่ที่ใดบ้าง เป็นชาย หญิง เด็ก คนทำงาน คนชรา คนพิการ จำนวนเท่าใด ฯลฯ ข้อมูลระดับประเทศเหล่านี้ สามารถนำมาใช้ช่วยในการตัดสินใจของรัฐบาลและผู้บริหารระดับต่างๆมากมาย เช่นใช้ในการวางแผนนโยบายและโครงการต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น ในพื้นที่ที่มีเด็กมาก ก็ควรต้องมีโรงเรียน ครู และวัคซีนที่ใช้ในการฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคของเด็กแต่ละวัยให้เพียงพอ ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นต้องมีระบบสาธารณูปโภคอย่างเพียงพอ ต้องมีระบบการขนส่งมวลชนให้เหมาะสมกับจำนวนประชากร เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้ในการกำหนดประเด็นปัญหา ตั้งเป้าหมายและติดตามความก้าวหน้าในการทำงาน สำหรับการบริหารจัดการและประเมินโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการพัฒนาครอบครัว เคหะที่อยู่อาศัย การศึกษา สุขภาพอนามัย การขนส่งคมนาคม การพัฒนาเมือง/ชนบท ใช้ในการประเมินแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 พ.ศ. 2550 - 2554 เป็นต้น นอกจากนี้ยังใช้ในการวางแผนต่อเนื่องทางด้านวิชาการต่างๆ สภาพัฒน์ ตลอดจนนักวิชาการในมหาวิทยาลัยต่างๆ ยังได้นำข้อมูลสำมะโนไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน ในการคาดการณ์ประมาณการณ์ประชากรของประเทศไทยในอนาคต โดยข้อมูลนี้สามารถใช้ในการจัดเตรียมแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555 - 2559 ได้ ส่วนในภาคเอกชนก็สามารถนำข้อมูลสำมะโนไปใช้ได้กล่าวคือ สามารถนำเสนอข้อมูลไปถึงระดับพื้นที่ย่อย เช่น หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ นำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจตั้งร้านค้า ธุรกิจ หรือผลิตสินค้าเพื่อขาย ขณะที่ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น อบต. อบจ. หรือเทศบาล ก็สามารถนำข้อมูลไปใช้ร่วมกับข้อมูลแหล่งทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน เพื่อการวางแผนพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นของตนเองได้เช่นเดียวกัน สำหรับรัฐบาล ข้อมูลสำมะโนประชากรที่จัดทำทุกๆ 10 ปีนี้ ถือเป็นแหล่งข้อมูลหลักระดับประเทศ ที่เกี่ยวกับขนาด การกระจายตัวทางภูมิศาสตร์ ที่อยู่อาศัย รวมทั้งลักษณะทางสังคมเศรษฐกิจ และประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ทำให้ผู้บริหารในระดับต่างๆ สามารถนำข้อมูลช่วยไปใช้ในการตัดสินใจวางแผน และช่วยในการตัดสินใจได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ในปัจจุบันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประชากรไทยมีอายุยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว ประชากรจากชนบทย้ายถิ่นเข้ามาในเมืองมากขึ้นโดยไม่ได้จดทะเบียนย้ายที่อยู่ ขณะเดียวกันคุณภาพประชากรทุกรุ่นวัยเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขปรับปรุง เพื่อการพัฒนาชีวิต ที่อยู่อาศัยในประเทศ ทั้งหมดนี้ล้วนต้องการสถิติข้อมูลที่ถูกต้อง มาใช้ในการวางแผนนโยบายทั้งสิ้น ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2553 เป็นวันอ้างอิงของข้อมูลแต่ละคนในการจัดทำสำมะโนประชากรและเคหะ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเวลา ไม่ว่าจะเป็น การเกิด การตาย การย้ายถิ่น จะถือเอาวันดังกล่าวเป็นเกณฑ์ ทุกๆท่านจึงควรสละเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อร่วมฉลอง 100 ปีของการทำสำมะโนประชากร โดยการใช้ข้อมูลตามความเป็นจริงเกี่ยวกับบุคคลในครัวเรือนของตนเอง การทำสำมะโนประชากรมีหลักการในการรักษาความลับข้อมูลส่วนบุคคลในทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนในการเก็บรวบรวม ประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล แต่จะนำผลในภาพรวมมาแสดง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลตำบล/เทศบาล อำเภอ จังหวัด ภาคและประเทศ ไม่มีการโยงข้อมูลไปถึงตัวบุคคลหรือครัวเรือนจนทำให้เกิดความเสียหายอย่างเด็ดขาด เวทีอภิปราย "การใช้ข้อมูลสำมะโนประชากรและเคหะในการตอบโจทย์ใหญ่ๆของประเทศ" โดย วิทยากร 3 ท่าน ได้แก่ 1. คุณจิราวรรณ บุญเพิ่ม : รองเลขาธิการสถิติแห่งชาติ สำนักงานสถิติแห่งชาติ 2. ศ.กิตติคุณ ดร.คุณหญิงสุชาดา กีระนันทน์ : นายกสมาคมสถิติแห่งประเทศไทย 3. นพ.สุวิทย์ วิบูลผลประเสริฐ : ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการควบคุมป้องกันโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยแต่ละท่านได้อภิปรายในประเด็นต่างๆดังนี้ คุณจิราวรรณ บุญเพิ่ม : รองเลขาธิการสถิติแห่งชาติ สำนักงานสถิติแห่งชาติ