สถานการณ์โรคอุจจาระร่วงในปัจจุบัน
โรคอุจจาระร่วง หมายถึง ภาวะที่มีการถ่ายอุจจาระเหลว จำนวน 3 ครั้งติดต่อกันหรือมากกว่า หรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้ง ใน 1 วัน หรือถ่ายเป็นมูกหรือปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้ง
จึงได้แบ่งอาการไว้ 2 ชนิด
1. อาการท้องร่วงอย่างเฉียบพลัน หมายถึง อาการท้องร่วงที่เป็นทันทีทันใด แต่เป็นระยะสั้นๆ ไม่เกินสองสัปดาห์
2. อาการท้องร่วงชนิดเรื้อรัง หมายถึง อาการท้องร่วงที่เป็นติดต่อกันนานกว่าสองสัปดาห์และบางรายอาจเป็นเดือนหรือหลายเดือนติดต่อกัน หรือมีอาการเป็นพักๆ
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว ปรสิตและหนอนพยาธิ
การติดต่อของโรค
โดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อที่ออกมากับอุจจาระของผู้ป่วย
ระยะฟักตัวของโรค
อาจสั้น 10-12 ชั่วโมง หรือ 24-72 ชั่วโมง ขึ้นกับชนิดของเชื้อก่อโรค
ระยะติดต่อ
ช่วงระยะที่มีอาการของโรค
อาการแสดงของโรค
การเกิดอาการท้องร่วงมีได้มากมายหลายสาเหตุของโรคแต่เราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. ท้องร่วงจากการติดเชื้อ ทั้งจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย จะมีลักษณะอาการและลักษณะอุจจาระที่ออกมาแตกต่างกันที่น่ารับรู้และให้สังเกตไว้ ได้แก่ อหิวาตกโรค จะมีลักษณะอุจจาระคล้ายน้ำซาวข้าว ผู้ป่วยจะมีการอาเจียน อ่อนเพลีย และซึมร่วมด้วย ท้องร่วงจากเชื้อบิดมักจะถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือดร่วมกับมีอาการอาเจียน มีไข้สูง อ่อนเพลีย
2. ท้องร่วงชนิดไม่มีการติดเชื้อ โรคที่พบได้บ่อยในบ้านเรา ได้แก่ การขาดเอ็นไซม์แลคเตส ที่ทำการย่อยน้ำตาลนม จากการศึกษาเรื่องแลคเตสในเยื่อบุของเซลล์ลำไส้ของคนไทยพบว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์ ขากเอ็นไซม์ตัวนี้ อาการของผู้ป่วยโรคนี้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ดื่มนมสดไปแล้วประมาณ 1 ถึง 2 ชั่วโมง คือ รู้สึกโครกครากในท้อง ปวดท้องแบบปวดบิดๆ และมีอาการท้องร่วงเป็นน้ำ 1-2 ครั้งแล้วค่อยหายไป
คำแนะนำสำหรับประชาชน
โรคอุจจาระร่วง หรือ โรคติดต่อทางอาหารและน้ำ ทั้งหมดเป็นโรคที่ประชาชนสามารถป้องกันได้ด้วยการกันดูแลสุขอนามัยในการรับประทานอาหาร การเก็บอาหาร และการปรุงอาหาร รวมทั้งล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
องค์การอนามัยโลกได้กำหนดกฎทอง 10 ประการ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคอุจจาระร่วง คือ
1. เลือกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างปลอดภัย เช่น เลือกนมที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ ผักผลไม้ควรล้างด้วยน้ำปริมาณมากๆ ให้สะอาดทั่วถึง
2. ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน
3. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ
4. หากมีความจำเป็นต้องเก็บอาหารที่ปรุงสุกไว้นานกว่า 4-5 ชั่วโมง ควรเก็บไว้ในตู้เย็นส่วนอาหารสำหรับทารกนั้นไม่ควรเก็บไว้ข้ามมื้อ
5. ก่อนที่จะนำอาหารมารับประทานความอุ่นให้ร้อน
6. ไม่นำอาหารที่ปรุงสุกแล้วมาปนกับอาหารดิบอีก เพราะอาหารที่สุกอาจปนเปื้อนเชื้อโรคได้
7. ล้างมือให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นก่อนการปรุงอาหาร ก่อนรับประทาน และโดยเฉพาะหลังการเข้าห้องน้ำ
8. ดูแลความสะอาดของพื้นที่สำหรับเตรียมอาหาร ล้างทำความสะอาดหลังการใช้ทุกครั้ง
9. เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
10. ใช้น้ำสะอาดในการปรุงอาหาร และควรระวังเป็นพิเศษในการใช้น้ำเพื่อเตรียมอาหารเด็กทารกได้
กฎ 3 ข้อ ขององค์การนามัยโลก
อย่างไรก็ตามเมื่อประชาชนหรือเด็กในครอบครัวมีอาการของโรคอุจจาระร่วงก็สามารถเริ่มต้นรักษาได้ที่บ้านโดยใช้กฎ 3 ข้อ ขององค์การนามัยโลก
1. ให้สารน้ำละลายเกลือแร่โอ อาร์ เอส หรือ ของเหลวมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
2. ให้อาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก หรือน้ำข้าว หรือแกงจืด ไม่งดอาหาร เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร
3. เมื่ออาการโรคอุจจาระร่วงไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือแพทย์ได้แก่
- ถ่ายเป็นน้ำมากขึ้น
- อาเจียนบ่อย กินอาหารไม่ได้
- กระหายน้ำกว่าปกติ
- มีไข้สูง
- ถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือปนเลือด
สถานการณ์โรคอุจจาระร่วงในประเทศไทย
จากรายงาน 506 ของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค พบผู้ป่วย 1,013,225 ราย จาก 77 จังหวัด คิดเป็นอัตราป่วย 1595.00 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 37 ราย คิดเป็นอัตราตาย 0.06 ต่อแสนประชากร สัดส่วนเพศชายต่อเพศหญิง 1: 1.29 กลุ่มอายุที่พบมากที่สุด เรียงตามลำดับ คือ >65 ปี (10.96 %) 15-24 ปี (9.98 %) และ25-34 ปี (9.94 %)
สัญชาติที่พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง ได้แก่ สัญชาติไทยคิดเป็นร้อยละ 98.6 พม่าร้อยละ 0.7 กัมพูชาร้อยละ 0.2 ลาวร้อยละ 0.1 จีน/ฮ่องกง/ไต้หวันร้อยละ 0.0 มาเลเซียร้อยละ 0.0 เวียดนามร้อยละ 0.0 และอื่นๆ ร้อยละ 0.4 ตามลำดับ ดังตารางที่ 1
ภาพที่ 1 แสดงลำดับของผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงมากที่สุด ปี 2555 (อัตราป่วยต่อแสนประชากร) จำแนกตามเชื้อชาติ |
ลำดับ |
สัญชาติที่ป่วยมากที่สุด |
อัตราป่วย (ต่อแสนประชากร) |
1 |
ไทย |
3.71 |
2 |
พม่า |
0.62 |
3 |
กัมพูชา |
0.42 |
4 |
ลาว |
0.12 |
5 |
จีน/ฮ่องกง/ไต้หวัน |
0.08 |
6 |
มาเลเซีย |
0.0 |
7 |
เวียดนาม |
0.0 |
8 |
อื่นๆ |
0.4 | |
ที่มา : สรุปการสำรวจพฤติกรรมการสูบบุหรี่และการดื่มสุราของประชากร พ.ศ. 2554 สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
พบว่าภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ ภาคเหนือ 1927.31 ต่อแสนประชากร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1711.17 ต่อแสนประชากร ภาคใต้ 1398.34 ต่อแสนประชากร และภาคกลาง 1376.95 ต่อแสนประชากรตามลำดับ ดังตารางที่ 2
ภาพที่ 2 จำนวนผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง ปี2555 (อัตราป่วยต่อแสนประชากร) จำแนกตามภาค |
ภาค |
อัตราป่วย (ต่อแสนประชากร) |
เหนือ |
1927.31 |
ตะวันออกเฉียงเหนือ |
1711.17 |
ใต้ |
1398.34 |
กลาง |
1376.95 | |
ที่มา : รายงานโรคในระบบเฝ้าระวัง 506 Diarrhoea (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2555 – 21 ต.ค. 2555) โดยใช้ฐานข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังโรค (รายงาน 506) อ้างใน http://www.boe.moph.go.th/
ส่วนจังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อแสนประชากรสูงสุด 5 อันดับแรกคือ ภูเก็ต (3303.24 ต่อแสนประชากร) ตาก (3255.19 ต่อแสนประชากร) ฉะเชิงเทรา (3109.20 ต่อแสนประชากร) แม่ฮ่องสอน (2917.96 ต่อแสนประชากร) และปราจีนบุรี (2888.36 ต่อแสนประชากร) ตามลำดับ ดังตารางที่ 3
ภาพที่ 3 แสดงลำดับของจังหวัดที่พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงมากที่สุด ปี 2555 (อัตราป่วยต่อแสนประชากร) |
ลำดับ |
จังหวัดป่วยมากที่สุด |
อัตราป่วย (ต่อแสนประชากร) |
1 |
ภูเก็ต |
3303.24 |
2 |
ตาก |
3255.19 |
3 |
ฉะเชิงเทรา |
3109.20 |
4 |
แม่ฮ่องสอน |
2917.96 |
5 |
ปราจีนบุรี |
2888.36 | |
ที่มา : รายงานโรคในระบบเฝ้าระวัง 506 Diarrhoea (ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2555 – 21 ต.ค. 2555) โดยใช้ฐานข้อมูลจากระบบเฝ้าระวังโรค (รายงาน 506) อ้างใน http://www.boe.moph.go.th/
|