Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 19/08/2563 ]
โปรเจกต์ ยกระดับสิทธิ์บัตรทอง ลดความเหลื่อมล้ำ หรือเพิ่มภาระ รพ.?

โปรเจกต์ "ยกระดับสิทธิ์บัตรทอง" ลดความเหลื่อมล้ำ หรือเพิ่มภาระ รพ.?
          ปฏิวัติวงการสุขภาพ เทียบระบบสาธารณสุข สิทธิ์บัตรทองแบบใหม่-เก่า ทำอะไรได้บ้าง หลัง "อนุทิน" ประกาศ ยกระดับ "บัตรทอง" คนไทยต้องรักษาได้ทุกโรงพยาบาล ไม่มีคำว่า ผู้ป่วยอนาถา
          แบบใหม่ เอื้อประชาชน ลำบากหมอ?
          ปฏิวัติวงการสุขภาพ หลัง "อนุทิน ชาญวีรกูล" รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประกาศมอบนโยบายให้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยกระดับสิทธิ์บัตรทอง ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกโรงพยาบาลทุกแห่ง ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล และจากนี้ยังยืนยันว่า ต้องไม่มีผู้ป่วยอนาถา ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ต้องอยู่ด้วยศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะยากดีมีจน
          "สิ่งที่อยากเห็น คือ เมื่อผู้ป่วยไปรักษาที่ไหน ก็ต้องได้รับบริการตรงนั้นเลย ไม่ต้องมาแยกว่า จดทะเบียน รพ.แถวบ้านต้องใช้สิทธิ์ตามนั้น ไม่ใช่อีกต่อไป ซึ่งต้องพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ โดยต้องทำให้เกิดเป็น รูปธรรมด้วยความรวดเร็ว
          เพราะเรื่องสุขภาพประชาชน จะรอไม่ได้ มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ และเชื่อว่า สปสช. ก็พยายามดำเนินการเรื่องนี้อยู่ แต่ผมทำให้เป็นนโยบาย จะได้มีความชัดเจนขึ้น นอกจากนั้น ผู้ป่วยสิทธิ์บัตรทอง จะต้องไม่มีคำว่าอนาถา คนไทย ต้องได้รับการดูแลอย่างดีในระบบสาธารณสุขของไทย"
          ส่วนจะใช้เวลาอีกนานหรือไม่ที่ประชาชนจะได้ใช้สิทธิ์บัตรทองได้ทุกโรงพยาบาล ด้านรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข ก็กล่าวว่า ต้องทำให้รวดเร็ว สิ่งสำคัญ คือข้อมูลการเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ ซึ่งเรื่องอื่นๆ อย่าง เครือข่าย รพ.ต่างๆ ก็พร้อมหมดแล้ว ซึ่ง ท่านเลขาธิการสปสช.ได้รับเรื่องไปแล้ว
          นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังย้ำอีกว่า จากนี้ไปจะไม่มีผู้ป่วยอนาถา คำว่าผู้ป่วยอนาถา ต้องไม่มี ความเหลื่อมล้ำไม่มี คนไทยจะอนาถาไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะยากดีมีจน
          สำหรับสิทธิ์บัตรทองแบบใหม่นั้น หากมาลองเทียบแบบเก่า ก็สรุปได้คือจะเปลี่ยนจากเดิมที่ให้รักษากับ โรงพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนไว้ เปลี่ยนเป็นรักษาได้ทุก โรงพยาบาล สามารถใช้สิทธิ์บัตรทองรักษาที่ไหนก็ได้
          ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมคงต้องรอ ประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขเพื่อยืนยันความชัดเจนอีกครั้ง  สำหรับสิทธิ์ที่ประชาชนควรได้รับ
          ขณะเดียวกัน แน่นอนว่าหลังจากมีประกาศจะยกระดับบัตรทองขึ้น สังคมหลายส่วนก็ตั้งคำถามถึงปัญหาช่องโหว่ พร้อมมีกระแสว่า หากให้สิทธิ์คนไข้รักษาที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องรักษา ในโรงพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนบัตรทอง จะทำให้คนไข้จะไปกระจุกตัวที่โรงพยาบาลในจังหวัด หรือในโรงพยาบาลศูนย์ งานหนักก็จะไปตกอยู่ที่หมอ ตรวจไม่ไหว เพราะคนจะแห่กันไปโรงพยาบาลใหญ่ๆ กันหมด
          เทียบบัตรเก่า กับข้อจำกัดในการรักษา
          อย่างที่ทราบกันดีว่าสิทธิ์บัตรทองนั้น อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประชาชนคนไทยทุกคนมีสิทธิ์ใช้บัตรทอง เพียงแค่บัตรประชาชนที่มีเลขประจำตัว 13 หลัก ก็สามารถขึ้นทะเบียนรับสิทธิ์บัตรทองได้
          นอกจากนี้ก็ยังไม่เว้นแม้แต่เด็กที่ยังไม่มีบัตรประชาชน ก็สามารถใช้ใบสูติบัตรไปขึ้นทะเบียนได้เช่นกัน  แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสุขภาพของประกันสังคม ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และไม่ได้รับสวัสดิการรักษาพยาบาลอื่นใดจากรัฐเท่านั้น
          อย่างกรณีของเด็กหากมีสวัสดิการจากพ่อแม่ที่เป็นข้าราชการหรือพนักงานวิสาหกิจอยู่แล้ว ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์บัตรทอง
          โดยหลักๆ แล้ว บัตรทองให้สิทธิ์ในการรักษาพยาบาล ตรวจ วินิจฉัย โรคทั่วไปและโรคเรื้อรัง รวมถึงโรคเฉพาะทางต่างๆ ทั้งในฐานะ ผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก ค่ายาเวชภัณฑ์ ค่าอาหารและค่าห้อง การจัดส่งต่อผู้ป่วยกรณีที่ต้องส่งต่อให้โรงพยาบาลศูนย์
          นอกจากนั้นยังให้สิทธิ์การวางแผนครอบครัว คุมกำเนิด ฝากครรภ์ คลอดบุตร (ไม่เกิน 2 ครั้ง) วัคซีนตามนโยบายของรัฐ  การตรวจคัดกรองความเสี่ยง เช่น วัดระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม บริการทันตกรรม บริการแพทย์แผนไทยและบริการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ เช่น กายภาพบำบัด จิตบำบัด ฯลฯ
          สิทธิ์ในการใช้บัตรทอง เบื้องต้นจะต้องไปใช้สิทธิ์ที่หน่วยบริการ เช่น โรงพยาบาล ศูนย์บริการสาธารณสุข หรือคลินิกที่เข้าร่วมตามที่มีสิทธิ์อยู่ หากมีสิทธิ์อยู่ ก็สามารถยื่นแค่เพียงบัตรประชาชนเพื่อใช้สิทธิ์ได้เลย ไม่จำเป็นต้องใช้บัตรทองไปยื่นเพื่อรับการรักษาพยาบาลแล้ว ทางหน่วยบริการจะสามารถตรวจสอบสิทธิ์ให้ได้ เพราะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหมดทุกระบบเรียบร้อยแล้ว
          ทั้งนี้หากหน่วยบริการไม่สามารถรักษาได้ ก็จะทำการส่งตัวคนไข้ให้ไปรักษายังโรงพยาบาล ที่ใหญ่ขึ้นต่อไป  แต่หากเป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉิน ก็สามารถใช้สิทธิ์ข้ามเขตได้ โดยสามารถใช้สิทธิ์ ได้ 3 วัน หรือ 72 ชั่วโมง
          ส่วนบัตรทองสามารถใช้กับโรงพยาบาลเอกชนได้หรือไม่นั้น ต้องเป็นกรณีที่เจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตเท่านั้น เช่น หัวใจหยุดเต้น หมดสติ เลือดออกไม่หยุด หายใจไม่ออก ขาดน้ำรุนแรง วิกฤตจากอุบัติเหตุ ชัก ปากเบี้ยว วิกฤตจากไข้สูง ปวดท้องอย่างรุนแรง เป็นต้น
          หากมีอาการดังต่อไปนี้ ก็สามารถเลือกรับบริการที่โรงพยาบาลเอกชนใกล้บ้านโดยแจ้งเป็นเหตุฉุกเฉิน โดยที่ไม่ต้องสำรองจ่ายเงินไปก่อน ส่วนหากเป็นเรื่องการต้องรักษากับแพทย์เฉพาะทางที่หน่วยบริการทางการแพทย์ที่เรามีสิทธิ์อาจไม่มีแพทย์เฉพาะทางนั้น ต้องแจ้งความจำนง กับโรงพยาบาลเอกชนที่เราจะขอใช้สิทธิ์ก่อนว่าสามารถใช้สิทธิ์บัตรทองได้หรือไม่
          ส่วนคนที่อยู่ต่างจังหวัด อยากรักษาใน โรงพยาบาลรัฐในกรุงเทพฯ ก็สามารถทำได้ แต่ต้องเป็นกรณีฉุกเฉินเท่านั้นถึงจะใช้สิทธิ์บัตรทองได้เลยทันที แต่หากเป็นการรักษาโรค เช่น โรคหัวใจ โรคตับ โรคมะเร็ง ต้องปรึกษาแพทย์ที่หน่วยบริการการแพทย์ที่เรามีสิทธิ์เพื่อให้ออกใบส่งตัว ให้ แต่หากเป็นการรักษาโรคทั่วไป ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้
          ไม่เพียงเท่านี้ สิทธิ์บัตรทองก็ไม่สามารถ ฟรีไปหมดทุกอย่าง สำหรับกรณี เช่น ภาวะมีบุตรยาก การผสมเทียม การแปลงเพศ การตรวจวินิจฉัยโรคและรักษาที่เกินกว่าความเห็นของแพทย์ การบาดเจ็บการอุบัติเหตุรถยนต์ การบำบัดฟื้นฟูกรณีติดยาเสพติด การเปลี่ยนอวัยวะ ยกเว้น ปลูกถ่ายหัวใจ ปลูกถ่ายไตกรณีไตวายเรื้อรัง ปลูกถ่ายตับในเด็กที่เป็นโรคท่อน้ำดีตั้งแต่กำเนิด เป็นต้น จะไม่สามารถใช้สิทธิ์บัตรทองได้
          การรักษาด้วยกรณีดังกล่าวจึงต้องจ่ายเงินเอง รวมถึงหากเป็นการรักษาโรคทั่วไปแต่ผู้ป่วยไปใช้สิทธิ์ข้ามเขต หรือการขอห้องนอนพิเศษเมื่อเป็นผู้ป่วยใน แบบนี้ก็ต้องจ่ายเองเช่นกัน

 pageview  1210917    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved