หมอเสนอเจาะเลือดลดกักตัว 7 วัน รองรับเปิดรับท่องเที่ยว
          ไทยพบติดเชื้อโควิด14ราย
          เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 กันยายน เฟซบุ๊กศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในประเทศไทย ประจำวัน มีผู้ป่วยรายใหม่ 14 ราย รวมสะสม 3,559 ราย แบ่งเป็นการติดเชื้อในประเทศ 2,445 ราย และอยู่ในสถานกักกันโรคของรัฐ (State Quarantine) 621 ราย รักษาหายป่วยแล้ว 3,370 ราย ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล (รพ.) 130 ราย เสียชีวิตสะสม 59 ราย ทั้งนี้ ในจำนวนผู้ป่วยสะสม 3,559 ราย รับรักษาในกรุงเทพมหานครและ จ.นนทบุรี 1,941 ราย ภาคเหนือ 95 ราย ภาคกลาง 667 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 112 ราย ภาคใต้ 744 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 14 ราย เดินทางมาจาก 4 ประเทศ ได้แก่ ซูดานใต้ 7 ราย ตุรกี 1 ราย เขตบริหารพิเศษฮ่องกง 3 ราย และอินเดีย 3 ราย ทั้งนี้ สถานการณ์โรคโควิด-19 ทั่วโลก ผู้ติดเชื้อเพิ่มใหม่ 230,547 ราย ยอดผู้ติดเชื้อรวม 33,549,873 ราย อาการรุนแรง 65,318 ราย รักษาหายแล้ว 24,878,124 ราย เสียชีวิต 1,006,379 ราย โดยอันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 1.สหรัฐอเมริกา จำนวน 7,361,611 ราย 2.อินเดีย จำนวน 6,143,019 ราย 3.บราซิล จำนวน 4,748,327 ราย 4.รัสเซีย จำนวน 1,159,573 ราย และ 5.โคลอมเบีย จำนวน 818,203 ราย ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 137
          ครม.ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินอีก1เดือน
          ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุม ครม.ได้รับทราบผลการประชุมของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่มีมติให้ขยายการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พูดถึงประเทศเมียนมาที่มีการติดเชื้อโควิดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนายกฯได้ระบุว่า ให้แบ่งปันแนวทางที่ประเทศไทยใช้ให้กับประเทศเมียนมา และเน้นย้ำว่าประชาชนยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ และเตรียมการปลดล็อกการดำเนินธุรกิจ และการท่องเที่ยวให้มากขึ้น เนื่องจากเรื่องเศรษฐกิจสำคัญเท่ากับการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
          นายอนุชาแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบโครงการจัดหาครุภัณฑ์เครื่องฉายรังสี สำหรับแก้ปัญหาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการจัดซื้อในหลายโรงพยาบาลในพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งผู้ป่วยจึงไม่จำเป็นต้องเดินทางมารักษาที่กรุงเทพฯ กรอบวงเงินงบประมาณ 878 ล้านบาท
          หมอเสนอเจาะเลือดลดกักตัว7วัน
          ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงหลักการในการลดระยะเวลาการกักกันโรค (Quarantine) ในกลุ่มผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทย ด้วยการใช้วิธีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ว่าหลักการของการลดระยะเวลากักตัวโรคในสถานกักกันโรคจากเดิม 14 วัน ให้น้อยลงเหลือ 7 วัน ตนเสนอให้มีการตรวจหาหลักฐานการติดเชื้อหรือภูมิคุ้มกันโรค ด้วยการเจาะเลือดที่ปลายนิ้วมือ เพียง 0.3-0.5 ซีซี ส่งตรวจที่ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้เวลาตรวจในห้องปฏิบัติการ (แล็บ) 3 ชั่วโมง เพื่อค้นหาหลักฐานการติดเชื้อของผู้ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการป่วยทั้งเบาและรุนแรง หากผลเลือดเป็นลบ หมายถึงไม่มีการติดเชื้อ แต่หากมีผลเป็นบวก หมายถึงมีการติดเชื้อและจะต้องเก็บสิ่งส่งตรวจในโพรงจมูกด้วยวิธี RT-PCR เพื่อหาว่าเชื้อนั้นแพร่ออกมาได้หรือไม่ โดยศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ฯ พร้อมรองรับการตรวจเลือดประมาณ 5,000 ตัวอย่างต่อวัน และสามารถยกระดับการตรวจได้กว่า 10,000 ตัวอย่างต่อวัน ในราคา 1,000 บาทต่อครั้ง โดยตนย้ำว่าไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในเรื่องนี้ แต่ที่ต้องประกาศจุดยืนเพราะไม่ต้องการให้ผู้อื่นเข้ามาหากำไรในการตรวจ
          "เดือนธันวาคม นักท่องเที่ยวก็เข้ามาอย่างสบายใจได้ โดยมีระยะเวลาในการกักตัว 7 วัน และตรวจแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ถ้าหากเป็นเจาะเลือดเป็นลบแล้ว 2 ครั้ง ก็ไม่ต้องทำอะไร แต่หากกลัวจริงๆ คือในวันที่ 7 ของการกักตัว ถึงแม้เจาะเลือดให้ลบแล้ว ก็สามารถแยงจมูกตรวจ RT-PCR ด้วยก็ได้ โดยการเจาะเลือดตรวจด้วยราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับการแยงจมูกที่ราคาสูงกว่าและนอกเหนือจากนั้น คือใช้อุปกรณ์มากกว่า ดังนั้น หากใช้การเจาะเลือดตรวจก็จะตอบโจทย์ได้โดยที่อาจจะไม่รบกวนงบประมาณในการแยงจมูก และสามารถลดระยะเวลาการกักตัวได้ ทั้งยังช่วยลดงบประมาณของรัฐบาลในการดูแลคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศและต้องเข้าสถานกักกันโรคนานถึง 14 วันได้" ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าว
          จับ19พนักงานบ่อนเข้าไทย
          ที่ จ.ตาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเจ้าหน้าที่ทหารกองกำลังนเรศวร และหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 อ.แม่สอด ออกเดินลาดตระเวนเข้มงวดบริเวณบ้านไร่ ตำบลแม่ตาว อ.แม่สอด แนวชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อป้องกันการระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 จากประเทศเมียนมา โดยห้ามข้ามแดนไปมาเด็ดขาดตามประกาศของจังหวัดตาก พบบุคคลสัญชาติไทยพร้อมสัมภาระ 19 คน แยกเป็นชาย 10 คน หญิง 9 คน ลักลอบข้ามน้ำเมยมาจากฝั่งประเทศเมียนมา เขตจังหวัดเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง จึงขอตรวจสอบ พบชาวไทยทั้งหมดเป็นพนักงานบ่อนออนไลน์ในฝั่งประเทศเมียนมา และกำลังจะกลับบ้านในประเทศไทย โดยใช้วิธีการลักลอบข้ามแดน จึงควบคุมตัวทั้งหมดไปดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ขณะที่ฝ่ายปกครองอำเภอแม่สอด ตำรวจตระเวนชายแดน 346 อ.แม่สอด และตำรวจ สภ.แม่สอด ตามตำบลต่างๆ ทั้งหมู่แนวชายแดนไทย-เมียนมา เข้มงวดคัดกรองคนไปมาทั้งชาวไทยและชาว เมียนมาทุกหมู่บ้าน
          เมียนมาไม่รู้ต้นตอติดเชื้อ20%
          เว็บไซต์เมียนมาไทม์สของเมียนมาระบุว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขเมียนมารับว่าไม่ทราบแหล่งที่มาของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่ในกรุงเนปยีดอ เมืองหลวงของ เมียนมาถึงราว 20% โดยล่าสุดมีการยืนยันว่าพบผู้ติดโควิด-19 ในกรุงเนปยีดอแล้ว 120 คน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย ซึ่งในจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 8 ราย ที่ยืนยันได้ว่ามีการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อมาก่อน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบร่องรอยของการแพร่เชื้อในกลุ่มคนราว 10-15 คน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดโควิด-19 หลังเสียชีวิตแล้ว
          ในจำนวนผู้ติดเชื้อที่กรุงเนปยีดอ 62 ราย อยู่ในเมืองซาบูธีรี ซึ่งเป็นเมืองที่ข้าราชการส่วนใหญ่อาศัยอยู่ กระทรวงสาธารณสุข เมียนมาจึงเตรียมที่จะรับมือกับข้าราชการและครอบครัวที่น่าจะติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลราว 50-60 คนเท่านั้น ส่วนผู้ที่ถูกกักกันตัวเพื่อควบคุมโรคในกรุงเนปยีดอ หลังเดินทางมาจากเมืองอื่นๆ หรือมาจากต่างประเทศขณะนี้อยู่ที่ 1,131 คน ล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเมียนมาล่าสุดอยู่ที่ 11,631 คน และมีผู้เสียชีวตแล้ว 256 ราย
          เนเธอร์แลนด์คุมเข้มกันรอบ2
          ด้านรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประกาศมาตรการคุมเข้มครั้งใหม่เพื่อชะลอการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระลอก 2 ภายใต้มาตรการคุมเข้มใหม่ดังกล่าวจะรวมถึงการปิดบาร์และร้านอาหารเร็วขึ้นไม่เกิน 22.00 น. การควบคุมการเดินทางระหว่างเมืองหลักๆ ในเนเธอร์แลนด์ คือกรุงอัมสเตอร์ดัม เฮก และรอตเตอร์ดัม เท่าที่มีความจำเป็น การสวมใส่หน้ากากอนามัยในกรุงอัมสเตอร์ดัมและเมืองใหญ่อื่นๆ โดยร้านค้าสามารถที่จะปฏิเสธลูกค้าที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยได้ ขณะที่ธุรกิจต่างๆ ควรแนะนำให้ลูกจ้างทำงานจากบ้านเว้นแต่มีความจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น การแข่งขันกีฬาต้องไม่ให้มีผู้ชมเข้าดู โดยการรวมตัวกันต้องไม่เกิน 40 คน ส่วนการรวมตัวกันที่บ้านจะถูกจำกัดจำนวนอยู่ที่ต้องมีแขกไม่เกิน 3 คนเท่านั้น
          ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ในเนเธอร์แลนด์เพิ่มขึ้นจนทะลุการติดเชื้อสูงสุดที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา มีรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่ 2,914 คน ลดลงจากสถิติสูงสุดเมื่อวันที่ 27 กันยายน ที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 2,995 คน รัฐมนตรีสาธารณสุขเนเธอร์แลนด์ระบุว่าหากไม่มีการบังคับใช้มาตรการต่างๆ เพิ่มเติมคาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นจากเกือบ 3,000 คน เป็น 5,000 คนต่อวัน