Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 06/10/2563 ]
เปิดประเทศเพิ่มฟื้นศก.รับนักลงทุนตปท.ชง6เงื่อนไขสกัดโควิด

สธ.เซ็นสัญญาจองวัคซีนไทยพบป่วยเพิ่มอีก5ราย
          ไทยพบผู้ป่วยโควิด-19 ใหม่ 5 ราย เป็นต่างชาติ 4 คนไทย 1 กลับจากอินเดีย 2 ราย  มาเลเซีย 1 ราย บาห์เรน 1 ราย และญี่ปุ่น 1 ราย ทุกราย อยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้"อนุทิน" เดินหน้าจัดหาวัคซีนโควิด-19 พร้อมเข้าร่วมโครงการ "COVAX facility" และเจรจาทวิภาคีทำความตกลงจัดหาวัคซีนล่วงหน้า ขณะที่รัฐบาลเตรียมเปิดประเทศรับนักธุรกิจเข้ามาเจรจาเรื่องการลงทุน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยชง 6 มาตรการคุมไวรัสลามให้ ศบค.เคาะ ก่อนอนุมัติให้นักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพกระตุ้นเศรษฐกิจสูงเข้าไทยในลำดับต่อไป
          เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศรายวันว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็น ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าพักใน State Quarantine ทั้งหมด  มีผู้ป่วย รักษาหายเพิ่ม 2 ราย  สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,590 ราย เป็น ผู้ป่วยในประเทศ 2,445 ราย และตรวจพบในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 652 ราย ผู้ป่วยรักษาหายแล้วรวม 3,390 ราย ส่วนผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 141 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 59 ราย
          ไทยป่วยใหม่5ต่างชาติ4คนไทย1
          รายละเอียดผู้ป่วยใหม่ 5 ราย มาจากอินเดีย 2 ราย โดยรายที่ 1 เพศชาย สัญชาติอินเดีย อายุ 27 ปี อาชีพ ผู้ตรวจสอบบัญชี เดินทางมาถึงไทยวันที่ 25 กันยายน  เข้าพักสถานที่กักกันในกทม. (ASQ) พบผู้ป่วยยืนยันในเที่ยวบินเดียวกันก่อนหน้า 6 ราย ตรวจครั้งแรก วันที่ 25 กันยายน  (Day 0) ไม่พบเชื้อ วันที่ 2 ตุลาคม เริ่มมีอาการเจ็บคอ ตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 2 ตุลาคม (Day 7) ผลพบเชื้อ เข้ารักษาที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่งกทม. - รายที่ 2 เพศชาย สัญชาติอินเดีย อายุ 33 ปี อาชีพเชฟทำอาหาร เดินทางมาถึงประเทศไทยวันที่ 30 กันยายน เข้าพักสถานที่กักกันในกทม.(ASQ) ยังไม่พบผู้ป่วยยืนยันในเที่ยวบินเดียวกันก่อนหน้า ตรวจครั้งแรก วันที่ 3 ตุลาคม  (Day 3) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารักษาที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง กทม.  มาเลเซีย 1 ราย (มาจากโปรตุเกส ไปอินเดีย ไปมาเลเซีย ก่อนมาประเทศไทย)
          ส่วนรายที่ 3 เพศชาย สัญชาติโปรตุเกส อายุ 34 ปี อาชีพลูกเรือสายการบิน เช่าเหมาลำ เดินทางจากโปรตุเกส ถึงอินเดีย วันที่ 18 กันยายน และถึงมาเลเซีย วันที่ 24 กันยายน ถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 กันยายน เข้าพักสถานที่กักกันใน จ.สมุทรปราการ (ASQ) ยังไม่พบผู้ป่วยยืนยันในเที่ยวบินเดียวกันก่อนหน้า ตรวจครั้งแรก วันที่ 3 ตุลาคม  (Day 3) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารักษาที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง จ.สมุทรปราการ  รายที่ 4 เพศชาย สัญชาติบาห์เรน อายุ 50 ปี อาชีพ ธุรกิจส่วนตัว มีภรรยาคนไทย เดินทางมาถึงไทยวันที่ 27 กันยายน เข้าพักสถานที่กักกันในกทม. (ASQ) ยังไม่พบผู้ป่วยยืนยันเที่ยวบินเดียวกันก่อนหน้า ตรวจครั้งแรก วันที่ 2 ตุลาคม (Day 5) ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ เข้ารักษาที่รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง กทม.  ญี่ปุ่น 1 ราย
          และรายที่ 5 เพศหญิง สัญชาติไทย อายุ 55 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 30 กันยายน เข้าพักสถานที่กักกันในจ.ชลบุรี (SQ) พบ ผู้ป่วยยืนยันเที่ยวบินเดียวกันก่อนหน้า 1 ราย วันที่ 3 ตุลาคม เริ่มมีอาการ ครั่นเนื้อครั่นตัว ไอ ตรวจครั้งแรก วันที่ 4 ตุลาคม ผลพบเชื้อ เข้ารักษาที่ รพ.เอกชน แห่งหนึ่ง จ.ชลบุรี
          สธ.ลงนามจองวัคซีนโควิดล่วงหน้า
          ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี พญ.พรรณประภา  ยงค์ตระกูล  โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2563 ว่า  วันนี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เป็นประธานประชุมคณะกรรมการวัคซีนฯ ซึ่งเห็นชอบนโยบายจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า  มีโอกาสทั้งได้หรือไม่ได้วัคซีนดังกล่าว แต่เพื่อให้การจัดหาวัคซีนรวดเร็วทันสถานการณ์ ลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และประชาชนมีโอกาสเข้าถึงวัคซีน จึงยกร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องจัดหาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19  กรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุจำเป็น 2563 ตามมาตรา 18 (4) แห่ง พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561
          โดยมอบให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักทำข้อตกลงร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในส่วน COVAX facility และทำความร่วมมือแบบทวิภาคีกับผู้ผลิตวัคซีน ที่กำลังทดสอบในคนระยะที่ 3 ทั้งในเอเชียและยุโรป โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขลักษณะเดียวกับ COVAX facility คือ ต้องลงนามทำสัญญาสำหรับร่วมพัฒนาศักยภาพผลิตวัคซีน เพื่อจัดหาวัคซีน และจ่ายเงินร่วมพัฒนาล่วงหน้าก่อนมีวัคซีน
          หารือแผนเร่งรัดเข้าถึงวัคซีน
          นอกจากนี้ ที่ประชุมหารือความคืบหน้าแผนเร่งรัดการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโควิด-19  ของคนไทย ในโครงการพัฒนาวัคซีนต้นแบบตั้งแต่ต้นน้ำ และเตรียมพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีนโควิด-19  วงเงิน 1,000  ล้านบาท ซึ่งได้รับการจัดสรรจากงบกลางปี 2563 โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรมสำคัญ ได้แก่ พัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศไทยชนิด mRNA โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 365 ล้านบาท  การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมการผลิตวัคซีนชนิด Viral vector โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด 600 ล้านบาท และการเพิ่มศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานด้าน สัตว์ทดลอง ดำเนินการโดยศูนย์วิจัย ไพรเมทแห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 35 ล้านบาท
          เล็งเปิดรับนักธุรกิจเข้าเจรจาลงทุน
          วันเดียวกัน ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)อนุมัติให้นักธุรกิจและผู้มีใบอนุญาตทำงาน เดินทางเข้าประเทศมาแล้วจำนวน 11,000 คน และคนกลุ่มนี้ยอมรับการเข้ากักตัวในสถานกักกันทางเลือก (Alternative State Quarantine: ASQ) 14 วัน ขณะนี้ศบค.อนุมัติให้มีนักท่องเที่ยวแบบ Long Stay โดยใช้ Special Tourist Visa (STV) ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคมแล้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวต้องเข้ากักตัวในสถานกักกันทางเลือก (Alternative State Quarantine: ASQ) 14 วัน ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ระยะต่อไป รัฐบาลเห็นความจำเป็นที่ควรอนุญาตให้กลุ่มนักธุรกิจที่จะเข้ามาเจรจาธุรกิจ และพิจารณาตัดสินใจด้านการลงทุน เดินทางเข้าประเทศ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
          ชง6มาตรการเข้าศบค.รับมือนักลงทุน
          นายอนุชากล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เนื่องจากนักธุรกิจกลุ่มดังกล่าวเดินทางเข้ามาระยะสั้น จึงควรต้องมีมาตรการพิเศษกำกับดูแล เบื้องต้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมเสนอมาตรการในการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาด COVID-19 ซึ่งมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นประธาน เพื่อนำข้อสรุปเสนอนายกฯต่อไป
          โดยคาดว่ามาตรการที่เตรียมเสนอมีดังนี้ 1.มีผลตรวจโควิด-19 (RT-PCR) ไม่เกิน 72 ชั่วโมง ก่อนเดินทางเข้าไทย 2.มีกรมธรรม์ประกันภัยที่ครอบคลุมการรักษาโควิด-19 วงเงินไม่น้อยกว่า 1 แสนเหรียญดอลลาร์สหรัฐ  3.ตรวจหาเชื้อ RT-PCR เมื่อเดินทางมาถึงและออกจากประเทศไทย ที่ช่องทางเข้า-ออกประเทศไทย 4.ให้มีผู้ติดตามด้านการแพทย์และสาธารณสุขตลอดระยะเวลาที่พำนักในประเทศไทย หรือเงื่อนไขอื่นที่เหมาะสม  5. ให้เดินทางโดยยานพาหนะที่เตรียมไว้ ตามแผนการเดินทางที่กำหนดเท่านั้น   6.ติดตั้ง Application ติดตามตัว ให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลาที่อยู่ในประเทศไทย
          ประชุมหาข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้
          "รายละเอียดมาตรการอาจมีเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงได้ โดยคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด- 19 จะประชุมหาข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้ และขั้นตอนต่อจากนี้ จะพิจารณาเพิ่มเติมเพื่ออนุมัติให้มีกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นลำดับต่อไป" นายอนุชากล่าว
          สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลกยังน่าเป็นห่วง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางการเมียนมาสรุปจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รอบ 24 ชั่วโมง ที่ผ่านมามี 1,294 คน เป็นสถิติรายวันสูงสุด นับตั้งแต่เมียนมาพบผู้ติดเชื้อ คนแรก  ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 17,794 คน   ส่วนผู้เสียชีวิตพบเพิ่ม 41 คน ทำให้สะสมเพิ่มเป็นอย่างน้อย 412 คน อยู่ในอันดับ 3 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ รักษาหายแล้ว 5,195 คน ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งของเมียนมายืนยัน การเลือกตั้งทั่วไปจะยังเกิดขึ้นตามกำหนดการเดิมคือ วันที่ 8 พฤศจิกายน โดยใช้สิทธิ์ล่วงหน้าสำหรับชาวเมียนมาในต่างประเทศเริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว
          ส่วนความคืบหน้าอาการป่วยของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ หลังติดไวรัสโควิด-19 โดยทรัมป์ที่อยู่ระหว่างรักษาอาการป่วย ในโรงพยาบาลทหาร ได้นั่งรถออกจากโรงพยาบาล  เพื่อทักทายกลุ่มผู้สนับสนุนที่มารอให้กำลังใจที่ด้านนอกเป็นระยะ การปรากฏตัวของผู้นำสหรัฐ มีขึ้นหลังจากที่ก่อนหน้านี้ เจ้าตัวระบุในคลิปวีดีโอที่โพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์รับปากว่าจะมีเซอร์ไพรส์ และเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 มากขึ้น
          ส่วนแพทย์ที่รักษาผู้นำสหรัฐเผยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์มีอาการดีขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าอาจออกจากโรงพยาบาลได้ เร็วที่สุดวันนี้  ส่วนคนที่อยู่ในรถคันเดียวกับ นายทรัมป์ แพทย์ระบุว่ามีความเสี่ยงสูง จะต้องเข้ารับการกักตัวโดยทันที

 pageview  1210913    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved