|
หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 20/10/2563 ] |
|
|
|
|
มะเร็งหลังโพรงจมูก |
|
|
|
|
สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กรมการแพทย์ เตือน "โรคมะเร็งหลังโพรงจมูก" หากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาแพทย์ เนื่องจากการรักษาโรคในระยะแรกเริ่มได้ผลดีกว่าในระยะลุกลาม
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้ข้อมูลว่า โรคมะเร็งหลังโพรงจมูกอาจเป็นบริเวณที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยนัก เป็นโรคที่มักพบในประเทศแถบเอเชียบางประเทศ เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง รวมถึงประเทศไทย
สำหรับอุบัติการณ์มะเร็งหลังโพรงจมูกในประเทศไทย พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 2 เท่า และมักพบในผู้ป่วยที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จากข้อมูลทะเบียนมะเร็งประเทศไทยโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปี 2014 พบผู้ป่วยเพศชาย 1,087 คน เพศหญิง 462 คน คิดเป็นอุบัติการณ์การเกิดโรค 2.62 และ 1.0 คนต่อประชากรแสนคน ตามลำดับ
ทั้งนี้ มะเร็งหลังโพรงจมูก คือ ก้อนเนื้อผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณหลังโพรงจมูก อาจไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ปัจจุบันยังไม่พบสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคนี้ แต่มีข้อมูลว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม การติดเชื้อไวรัส Epstein-Barr Virus (EBV) การรับประทานอาหารที่มีสารไนโตรซามีน และการสัมผัสสารก่อมะเร็งจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม อาทิ ฝุ่นไม้ บุหรี่ เป็นต้น
นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า มะเร็งหลังโพรงจมูกอาจไม่แสดงอาหารในระยะแรกๆ โดยอาการอาจจะปรากฏออกมาเมื่อมะเร็งเจริญเติบโตไปรอบๆ หรือมีขนาดใหญ่จนปิดกั้นโพรงจมูกไปมากแล้ว อาการทั่วไปที่พบบ่อย คือ คัดจมูก น้ำมูกไหลข้างเดียวทั้งที่ไม่ได้เป็นหวัด หรือภูมิแพ้ และยังมีอาการอื่นๆ ที่มีความแตกต่างกันในคนไข้แต่ละราย ขึ้นอยู่กับว่ามะเร็งนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากบริเวณไหน เช่น มีเลือดกำเดาไหล หูอื้อ ชา และปวดบวมบริเวณใบหน้า ปวดหัว และมีก้อนนูนอยู่บริเวณต้นคอ คอ ใต้ติ่งหู เป็นต้น
หากผู้ป่วยมีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ในด้านวินิจฉัยนั้น แพทย์จะใช้กล้องส่องดูภายในจมูกเพื่อดูที่หลังโพรงจมูกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ หากพบเนื้องอกมีลักษณะผิดปกติ เช่น เนื้อนูน ผิวขรุขระมีเลือดซึม แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อนั้นออกมาตรวจและดูว่ามีการกระจายไปยังส่วนอื่นๆ หรือไม่ การรักษาหลักมี 3 วิธี ได้แก่ 1.ผ่าตัดในกรณีที่เนื้องอกอยู่ในระยะแรกๆ ยังไม่มีการ กระจายตัวมากนัก 2.ฉายแสง 3.ให้ยาเคมี
การป้องกันมะเร็งหลังโพรงจมูก เบื้องต้นควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น สูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงการรับควันบุหรี่ สวมเครื่องป้องกันขณะปฏิบัติงานในโรงงานที่มีสารก่อมะเร็ง และสิ่งสำคัญ ควรสังเกตตัวเองอยู่เสมอเพื่อการรักษาที่ทันเวลา เนื่องจากการรักษาโรคในระยะแรกเริ่มจะได้ผลดีกว่าในระยะลุกลาม |
| | |
|
|