Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 26/11/2563 ]
ปลดล็อก กัญชา ยาเสพติดประเภท5

"สธ."แถลงปลดล็อก"กัญชา-กัญชง"ทุกส่วน เว้นช่อดอก ออกจากยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ขับเคลื่อนกัญชาทางการแพทย์ และส่งเสริมให้กัญชาและกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย
          เมื่อวันที่ 25 พ.ย.63 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  พร้อมด้วย นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองปลัด สธ. ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการการควบคุมยาเสพติดให้โทษ และ นพ.ไพศาล ดั่นคุ้มเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา แถลงผลการประชุมคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษปลดล็อกพืชกัญชา-กัญชง
          นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ตามนโยบายการขับเคลื่อนกัญชาทางการแพทย์และส่งเสริมให้กัญชาและกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศไทย การประชุมคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษครั้งที่ 12/2563 (ครั้งที่ 423)เมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา มีมติว่า วิธีภูมิปัญญาด้านสุขภาพของไทยมีการนำส่วนของใบ กิ่ง ก้าน ลำต้น ราก มาใช้ จึงปลดส่วนนี้ออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้น ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เสนอ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท5 โดยจะเสนอให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สธ.ลงนามโดยเร็วที่สุด และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
          "พืชกัญชาและกัญชงถูกระบุไว้ใน พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นตัวกฎหมายแม่ ว่าเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 โดยเนื้อหาความในประกาศที่จะออกโดยรัฐมนตรีว่าการ สธ. เร็วๆ นี้คือ เรื่องการไม่จัดในส่วนของ 1.เปลือกลำต้น เส้นใย กิ่ง ก้าน ราก และใบ ซึ่งไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย 2.เมล็ดกัญชง น้ำมันจากเมล็ดกัญชง หรือสารสกัดจากเมล็ดกัญชง 3.สารสกัดที่มีแคนนาบิสไอออน (CBD) ไฮโดรแคนนาบินอล(THC) ไม่เกินร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนักไม่เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการนำส่วนของพืชเหล่านี้ไปใช้เพื่อทำผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอาง หรืออาหารได้ แต่มีข้อแม้ที่สำคัญว่าสิ่งเหล่านี้ จะต้องเป็นการได้รับอนุญาตผลิต ปลูกจากในประเทศเท่านั้น โดยมีข้อกำหนดในการปลูกคือเป็นวิสาหกิจชุมชน การร่วมกับภาครัฐบาล การศึกษาและวิจัยที่ขออนุญาตการปลูกอย่างถูกต้อง ผลผลิตที่ไม่ใช่ช่อดอกจะไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ด้วย" นพ.เกียรติภูมิ กล่าว
          ด้าน นพ.ไพศาล กล่าวว่า การอนุญาตยังเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้เพื่อดูแลตนเอง และทางการแพทย์ รักษาสุขภาพ การใช้ในตำรับยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร นำเส้นใยไปใช้เป็นสิ่งทอเสื้อผ้า การนำมาสกัดเป็นยาทั้งในการแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน โดย อย.จะมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ และมีการตรวจสอบผู้ได้รับอนุญาตผ่านทางเว็บไซต์ http.//cannabis.fda.moph.go.th โดยสิ่งที่เน้นย้ำคือจะต้องเป็นการผลิตในประเทศและการได้รับอนุญาตที่ถูกต้องเท่านั้นส่วนในเรื่องของการอนุญาตใบนั้น จะต้องไม่มียอดหรือช่อดอกติดมาด้วย และการสกัดสารทีเอชซี และซีบีดีไม่เกิน ร้อยละ 0.2 โดยน้ำหนัก
          ด้าน ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า ในฐานะคณะกรรมการการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ถึงได้มีการสืบค้นการใช้ด้านภูมิปัญญาและผลทางด้านเภสัชวิทยา พบว่าใบกัญชาอยู่คู่วิถีชีวิตคนไทยมาตั้งแต่โบราณ ยอดอ่อนและใบอ่อนเป็นผัก ไม่มีสารเมา ไม่มีสารTHC สามารถรับประทานเป็นผักได้ ยอดอ่อนที่งอกจากเมล็ดสามารถรับประทานคู่กับสลัดได้ ส่วนใบสามารถนำมาชงเป็นชาได้ จากการสืบค้นและพูดคุยกับผู้สูบพบว่า ไม่ใช้ใบในการสูบ เนื่องจากมีสารที่ทำให้ระคายคอ ไม่มีอาการมึนเมาและยังก่อให้เกิดอาการไออีกด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการควบคุมสารเสพติดระหว่างประเทศ (International Narcotic Control Board: INCB) ไม่ได้บรรจุใบกัญชาในประกาศยาเสพติด แต่จะต้องมีการควบคุม เมื่อตระหนักผลดีแล้วเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตตามวัฒนธรรม จึงมีการผลักดันให้ปลดล็อกออกจากยาเสพติดภายใต้การศึกษาอย่างรอบด้าน คำนึงถึงผลกระทบจากทุกมิติ
          ผู้สื่อข่าวถามว่า การให้อนุญาตประชาชนครอบครองและใช้ได้อย่างถูกวิธีจะต้องเป็นกลุ่มประชาชนที่เป็นผู้ป่วยที่มีใบรับรองแพทย์หรือไม่ นพ.ไพศาลกล่าวว่า ในส่วนของการครอบครองพืชกัญชา มีคีย์เวิร์ดที่สำคัญคือ 1.การควบคุมเริ่มต้นตั้งแต่การผลิต การปลูก สกัดจะต้องผ่านการขออนุญาตโดยผู้ได้รับอนุญาตจะต้องมีคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษฉบับที่7 พ.ศ.2562 โดยปัจจุบันนี้มีการอนุญาต1.หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่ทางการแพทย์การศึกษาวิจัย 2.วิชาชีพแพทย์ ทันตแพทย์ แพทย์แผนไทยและหมอพื้นบ้าน3.สถาบันอุดมศึกษาเอกชน และ 4.วิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์ หน่วยบทเฉพาะกาลของ ฉบับที่ 7 ระบุว่า กลุ่มต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นจะต้องดำเนินการร่วมกับหน่วยงานของรัฐ
          "ส่วนที่ถามว่าครอบครองได้หรือไม่ คือ ผู้ที่ได้รับอนุญาต โดยจะต้องมีคุณสมบัติดังที่กล่าวข้างต้น หากมีประกาศกระทรวงฉบับแล้วในส่วนของแพทย์และแพทย์แผนไทย สามารถนำมาปรุงและจ่ายให้กับผู้ป่วยของตนเองได้ ซึ่งต่างจากเรื่องของการแก้ไข พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของกฤษฎีกา อันนี้จะเป็นเรื่องของผู้ป่วยสามารถปลูกได้เอง และแพทย์สามารถจัดการได้เอง แต่จะต้องนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.) อีกครั้งและกลับมาให้ รมว.สธ. ลงนามทั้งนี้เรายังอยู่ในพ.ร.บ. ฉบับที่ 7 อยู่ก็ต้องทำตามในส่วนนี้"นพ.ไพศาล กล่าว
          นพ.ไพศาล กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ผู้ที่จะปลูกได้จะต้อง
          ตรงตามคุณสมบัติและวัตถุประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น วิสาหกิจชุมชนที่ร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)ที่ปลูกและเพื่อนำไปทำเป็นยา ดังนั้นผู้ที่มีคุณสมบัติหรือเป็นวิสาหกิจชุมชนที่แสดงให้เห็นได้ว่าตนเองสามารถปลูกและดูแลได้ เพื่อนำไปใช้ตรงวัตถุประสงค์คือทางการแพทย์ การดูแลตนเองได้ก็ไม่มีปัญหา บ้านนึงจะปลูกกี่ต้นก็ไม่ใช่ประเด็นเพียงแต่ว่าจะต้องมีโครงการและใบอนุญาตชัดเจน โดยผู้ที่ขออนุญาตก็จะมีคุณสมบัติตามบทเฉพาะกาลด้วย

 pageview  1210907    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved