เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีน แถลงความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 สำหรับนำมาฉีดให้กับคนไทย ภายหลังจากที่มีบริษัทผลิตวัคซีนหลายแห่งในต่างประเทศออกมาประกาศความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีน
นพ.นครกล่าวว่า ประเทศไทยร่วมกับต่างประเทศ คือ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ได้ประกาศผลการทดสอบวัคซีนในคนระยะที่ 3 ให้ผลเบื้องต้นมีประสิทธิภาพป้องกันได้เฉลี่ยร้อยละ 70 ในจำนวนนี้ แบ่งเป็น 2 ตำรับวัคซีน คือ 1.ฉีดครึ่งโดสในครั้งแรก และฉีดอีก 1 โดส ในครั้งที่ 2 ประสิทธิภาพป้องกันร้อยละ 90 และ 2.ฉีดครั้งละ 1 เข็ม 2 ครั้ง ประสิทธิภาพร้อยละ 62 ซึ่งเฉลี่ยร้อยละ 70 โดยแผนในระหว่างนี้บริษัท แอสต้าเซนเนก้าจะรวบรวมผลการวิจัยในคนระยะที่ 3 ต่อ เพื่อนำข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นในการยืนยันต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือ FDA ของสหราชอาณาจักร และยุโรป โดยจะทยอยส่งข้อมูลไปเพื่อให้พิจารณาอย่างต่อเนื่องในการขึ้นทะเบียน สำหรับงบประมาณที่ให้กับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ จำนวน 26 ล้านโดส สำหรับประชากร 13 ล้านคน และเมื่อได้ทำการจองแล้ว มีวัคซีนแล้ว กรมควบคุมโรคจะจัดซื้อเข้ามา เพื่อกระจายให้ประชาชนตามกลุ่มเป้าหมายต่อไป การที่ไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในฐานการผลิตวัคซีนโควิด-19 การได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีมาทำให้เราได้รับความรู้ ความชำนาญ เพื่อการพึ่งพาตัวเองได้ทั้งในเวลานี้และอนาคต
นพ.นครกล่าวว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต ทั้งนี้ 2 บริษัท คือ แอสตร้าเซนเนก้า และ สยามไบโอไซเอนซ์ มีการประสานงานกันในการถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว ระยะเวลาประมาณ 6 เดือน ในการผลิตออกมาเป็นวัคซีน หลังจากนั้นจะต้องตรวจสอบคุณภาพ และขึ้นทะเบียน อย.ไทย คาดว่าจะมีวัคซีนในไทยประมาณกลางปี 2564 และการผลิตจำนวนมากต้องใช้เวลา กำลังการผลิตในไทยได้ 15 ล้านโดสต่อเดือน แต่เราต้องทยอยผลิต และส่งมอบให้กับประเทศในภูมิภาคอาเซียนด้วย โดยกรมควบคุมโรคจะต้องทำแผนบริหารการใช้วัคซีนเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังการผลิต ต้องวางแผนให้ชัดเจนว่า 1 เดือนจะต้องใช้เท่าไร เพื่อกระจายวัคซีนและคงอายุของวัคซีนไว้ |