'บิ๊กตู่'เตรียมออกมาตรการเชิงรุก ฝุ่นจิ๋ว คพ.แจงผลตรวจสอบคุณภาพอากาศพีเอ็ม 2.5 เหนือ-อีสานยังเกินค่ามาตรฐาน
          เมื่อวันที่ 26 มกราคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ว่า ยังเป็นปัญหาระดับชาติอยู่ รัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ปัญหาเชิงรุก ที่ผ่านมาก็ได้มีการหารือมาตรการต่างๆ เพื่อลดค่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ทั้งระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาว ต้องขอความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย ทหาร และภาคประชาชน เพราะมีหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม และการเผาพื้นที่การเกษตร ซึ่งต้องมีความเข้มงวด ต้องมีการแสวงหาแนวปฏิบัติที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนจากค่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 และการทำการเกษตรแบบดั้งเดิม
          "ก็ขอความร่วมมือด้วยแล้วกัน ทั้งภาคเอกชนและภาคเกษตรกรต่างๆ เพราะมี ผลกระทบกับประชาชนโดยรวมอื่นๆ ในส่วนของประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันก็ได้มีการหารือตลอดเวลา อากาศมันเชื่อมโยงทั้งหมด ไม่ได้มาจากชายแดนอย่างเดียว มันมาจากพื้นที่ตอนในด้วย ก็ได้หารือกับประเทศเพื่อนบ้านในทุกพื้นที่ ในทุกมิติ หลายช่องทาง ทั้งความมั่นคง กระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าราชการจังหวัดที่เชื่อมต่อกันทั้งของเราและของเขา" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
          ศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กรมควบคุมมลพิษ(คพ.) รายงานการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ โดยภาพรวมปริมาณพีเอ็ม 2.5 ในประเทศลดลงจากเมื่อวันที่ 25 มกราคม แต่ยังคงเกินค่ามาตรฐานใน จ.เชียงราย พะเยา น่าน เชียงใหม่ ลำปาง แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สระบุรี หนองคาย นครพนม ขอนแก่น ร้อยเอ็ด ชัยภูมิ อุบลราชธานี และ จ.นครราชสีมา
          โดยภาคเหนือเกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 35-85 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เกินค่ามาตรฐานเป็นส่วนใหญ่ ตรวจวัดได้ 40-99 มคก./ลบ.ม. ภาคกลางและตะวันตก เกินค่ามาตรฐาน 2 พื้นที่ ตรวจวัดได้ 13-59 มคก./ลบ.ม. ภาคตะวันออก ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 14-40 มคก./ลบ.ม. ภาคใต้ ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ตรวจวัดได้ 5-20 มคก./ลบ.ม. สำหรับกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยสถานีตรวจวัดของ คพ.ร่วมกับ กทม. ภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี ตรวจวัดได้ 15-43 มคก./ลบ.ม.
          อย่างไรก็ตาม ประชาชนทั่วไปควรเฝ้าระวังสุขภาพ ลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ถ้ามีอาการทางสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์ สำหรับประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ (พื้นที่สีแดง) ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น หากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสถานการณ์ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ที่ชายแดนไทย-เมียนมาด้าน อ.แม่สาย จ.เชียงราย แม้ว่าลดลงบ้างแต่ยังเกินค่ามาตรฐาน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม.) ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นวันที่ 5 โดยมีค่าพีเอ็ม 2.5 ที่ระดับ 54-79 มคก./ลบ.ม. อยู่ในสถานะสีส้มเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ
          น.ส.เอ๋ นามอิ่น แม่ค้าที่หน้าด่านพรมแดนแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก สะพานมิตรภาพไทย- เมียนมาแห่งที่ 1 กล่าวว่า เริ่มรู้สึกแสบตามากขึ้น เวลาหายใจก็จะรู้สึกหายใจลำบากกว่าแต่ก่อน กลางคืนก็รู้สึกได้ว่าอึดอัด เวลาขับรถตามท้องถนนรู้สึกแสบตาแม้จะป้องกันด้วยการสวมหมวกกันน็อกที่มีกระจก และสวมแมสก์แล้วก็ตาม
          ส่วนที่ จ.ลำปาง ในเขตตัวเมืองลำปางมีสภาพขมุกขมัวเต็มไปด้วยหมอกควัน อันเนื่องจากไฟไหม้ป่าที่ยังมีเกิดขึ้นในพื้นที่ จึงทำให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กพีเอ็ม 2.5 เกินค่ามาตรฐานทุกสถานี โดยสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัติโนมัติของกรมควบคุมมลพิษ รายงานค่าบริเวณ ต.พระบาท อ.เมือง วัดได้ 85 มคก./ลบ.ม. สูงสุดใน จ.ลำปาง รองลงมาที่ ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ 66 มกค./ลบ.ม., ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ 59 มคก./ลบ.ม. และที่ ต.สบป้าด อ.แม่เมาะ 56 มคก./ลบ.ม. ทั้งหมดอยู่ในระดับสีส้ม สภาพอากาศถือว่าน่าห่วงเกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องมา 12 วันติดต่อกันแล้ว
          ด้านสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ลำปาง รายงานว่า ในพื้นที่ อ.ห้างฉัตร จ.ลำปาง ได้เกิดเหตุไฟไหม้เศษเลื่อยไม้ภายในไซโลของบริษัท อิวหลีอุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ครัวเรือนขนาดใหญ่ ไฟโหมลุกไหม้สร้างกลุ่มควันคละคลุ้งเต็มพื้นที่ เจ้าหน้าที่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกว่า 50 นาย นำรถดับเพลิงฉีดน้ำสกัดกว่า 10 ชั่วโมง จึงควบคุมเพลิงไว้ได้ ส่วนสาเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้างฉัตร จะมีการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ต่อไป
          ขณะที่สภาพอากาศใน จ.หนองคาย โดยเฉพาะบริเวณริมแม่น้ำโขงถูกปกคลุมด้วยฝุ่นควันที่คาดว่าบางส่วนถูกลมพัดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้มีปริมาณฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 ในเขต ต.มีชัย เทศบาลเมืองหนองคาย มีค่าสูงต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 โดยวันนี้มีค่าอยู่ระดับ 94 มคก./ลบ.ม.
          จากรายงานสถานการณ์และคุณภาพอากาศภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศบรรยากาศ อ.เมือง จ.หนองคาย พบปริมาณฝุ่นละอองพีเอ็ม 2.5 มีค่าสูงถึง 94 มคก./ลบ.ม. อยู่ในเกณฑ์มีผล กระทบต่อสุขภาพ โดยมีข้อแนะนำประชาชนทั่วไปและกลุ่มเสี่ยงควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกประเภท หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาเหตุทำให้มีฝุ่นควันจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากชาวนาประเทศเพื่อนบ้านเผาฟางข้าวตามทุ่งนาหลังฤดูเก็บเกี่ยว เพื่อเตรียมพื้นที่ทำนารอบใหม่ โดยเฉพาะพื้นที่อยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำโขงที่มีระบบชลประทาน มีการสูบน้ำจากแม่น้ำโขงเข้าไปทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี เช่นเดียวกันฝั่ง จ.หนองคาย ก็ยังพบว่ามีการลักลอบเผาฟางข้าว เพื่อเตรียมพื้นที่ทำนาเช่นเดียวกัน
          จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในหลายอำเภอยังคงมีค่าฝุ่นพีเอ็ม 2.5 สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเขต อ.เมือง สถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศรายงานผลการตรวจวัดสภาพอากาศเช้าวันนี้ (26 ม.ค.) พบว่าคุณภาพอากาศในพื้นที่ ต.ในเมือง อ.เมือง มีค่าพีเอ็ม 2.5 อยู่ที่ 71 มคก./ลบ.ม. ซึ่งเกินมาตรฐานและเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพติดต่อกันเป็นระยะเวลา 7 วันแล้ว โดยนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัด ได้ประกาศขอความร่วมมือเกษตรกรและประชาชนทุกพื้นที่ งดการเผาหญ้า เผาตอซังข้าว และการเผาต่างๆ ที่ก่อให้เกิดมลภาวะพิษ หากมีการลักลอบเผาให้ฝ่ายปกครองในพื้นที่ พิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาขั้นเด็ดขาด
          นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานแถลงข่าวรู้ทันป้องกันฝุ่น PM2.5 ประเด็น "ปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่มีผลกระทบต่อเด็ก ว่าในช่วงสัปดาห์นี้ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในกรุงเทพมหานครดีขึ้น แต่หลายพื้นที่โดยเฉพาะเขตพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มมีปัญหาฝุ่น PM2.5 จากการเผาไหม้ บางพื้นที่อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และมีการคาดการณ์ประมาณวันที่ 27-28 มกราคมนี้ ในพื้นที่กรุงเทพฯจะเริ่มมีปัญหาฝุ่นอีกครั้ง ดังนั้นขอให้ประชาชนตรวจสอบสภาพอากาศ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กลางแจ้ง
          "เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจากกรณีฝุ่น ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 28 ราย แบ่งเป็น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง 14 ราย โรคระบบทางเดินหายใจ 13 ราย หอบหืด 1 ราย โดยกว่า 18 ราย เข้ารักษาที่แผนกฉุกเฉิน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และมีโรคประจำตัว แต่เมื่อจำแนกกลุ่มอาการพบว่ามากที่สุดยังคงเป็นอาการโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้น ได้แก่ คัดจมูก มีน้ำมูก ร้อยละ 17 แสบจมูก ร้อยละ 13.7 และแสบตาคันตา ร้อยละ 9.8" อธิบดีกรมอนามัยกล่าว
          นพ.สุวรรณชัยกล่าวว่า ในประเทศไทยมีประชากรเด็ก อายุ 0-14 ปี มากกว่า 11.4 ล้านคน โดยมีเด็กร้อยละ 44.1 อยู่ในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นสูงเกินมาตรฐาน เมื่อลงรายละเอียดพบว่ายังไม่พบจำนวนเด็กที่ป่วยหรือเสียชีวิตจากมลพิษอย่างชัดเจน แต่เมื่อพิจารณาจากฐานข้อมูลเฝ้าระวังโรคมลพิษทางอากาศของ สธ.ในปี 2563 พบว่าเด็กอายุ 0-14 ปี ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับฝุ่นละอองกว่า 618,131 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 5.42 เฉลี่ยแต่ละวันจะมีเด็กที่เข้ามารับการรักษา 1,694 รายต่อวัน นอกจากนี้ จากการสำรวจวันที่ 22-25 มกราคม 2563 เด็กมีกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการรับฝุ่นละอองหรือกิจกรรมกลางแจ้ง พบร้อยละ 52.9 ที่ดำเนินกิจกรรม 1-3 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนการเดินทางพบร้อยละ 55 มีโอกาสรับฝุ่นขณะเดินทาง โดยร้อยละ 35 เดินทางโดยรถจักรยานยนต์ ร้อยละ 12 เดินทางโดยรถสาธารณะไม่ปรับอากาศ และร้อยละ 8 เดินเท้า
          ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการที่เด็กทำกิจกรรมทางการแจ้งหรือการเดินทางที่มีโอกาสเสี่ยงได้รับผลกระทบจากฝุ่นละออง จำเป็นที่ผู้ปกครองจะต้องเข้ามาดูแล โดยการงดหรือเสี่ยงการออกนอกอาคารในวันที่มีค่าฝุ่นสูง ปิดประตู หน้าต่าง ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ รับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ หากจำเป็นต้องออกข้างนอก ควรสวมหน้ากากป้องกันฝุ่น หากมีอาการผิดปกติ ให้รีบพาไปพบแพทย์