|
หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 11/02/2564 ] |
|
|
|
|
วัคซีนไทยใกล้สำเร็จ เริ่มทดลองในคนมี.ค.-พ.ค.นี้ |
|
|
|
|
วัคซีนไทยใกล้สำเร็จเริ่มทดลองในคนมี.ค.-พ.ค.นี้
ผู้จัดการรายวัน360 - "อนุทิน" เผยองค์การเภสัชกรรมเตรียมทดสอบวัคซีนโควิด-19 "NDV-HXP-S" ในมนุษย์ ระยะที่ 1 กับอาสาสมัคร 210 คน ช่วงเดือน มี.ค.นี้ และระยะที่ 2 เม.ย.-พ.ค. อาสาสมัครอีก 250 คน เพื่อประเมินความปลอดภัยและความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกัน หลังประสบความสำเร็จ กระตุ้นภูมิคุ้มกันดีจากการทดลองในสัตว์ พร้อมเตรียมขึ้นทะเบียนวัคซีนจากจีน ศบค.เผยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่ม 157 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย
ผู้จัดการรายวัน360 - "อนุทิน" เผยองค์การเภสัชกรรมเตรียมทดสอบวัคซีนโควิด-19 "NDV-HXP-S" ในมนุษย์ ระยะที่ 1 กับอาสาสมัคร 210 คนช่วงเดือน มี.ค. นี้ และระยะที่ 2 เม.ย.-พ.ค. อาสาสมัครอีก 250 คน เพื่อประเมินความปลอดภัยและความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกัน หลังประสบความสำเร็จ กระตุ้นภูมิคุ้มกันดีจากการทดลองในสัตว์ พร้อมเตรียมขึ้นทะเบียนวัคซีนจากจีน ศบค. เผยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่เพิ่ม 157 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย
วานนี้ (10 ก.พ.) องค์การเภสัชกรรม (จีพีโอ) กระทรวงสาธารณสุข และมหาวิทยาลัยมหิดล แถลงผลวิจัยพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 "NDV LaSota-S Hexapro COVID-19 vaccine (NDVHXP-S)" ชนิดเชื้อตาย ด้วยเทคโนโลยีฟักในไข่ไก่ ที่เตรียมศึกษาวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ระยะที่ 1 เดือนมีนาคม 2564 หากเสร็จสิ้นกระบวนทุกอย่าง และขึ้นทะเบียนตำรับกับทาง อย. คาดจะสามารถผลิตวัคซีนได้ถึงปีละประมาณ 25-30 ล้านโดส
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข เปิดเผยถึงความคืบหน้าการวิจัยและพัฒนาวัคซีนจากเทคโนโลยีไข่ไก่ฟัก โดยองค์การเภสัชกรรม (จีพีโอ) ซึ่งปัจจุบันเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ผลิตวัคซีนหลายชนิด รวมทั้งวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ว่า จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกแสดงให้เห็นว่าปริมาณวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ที่ใช้ทั่วโลกในปี 2019 จำนวนกว่า 1.48 พันล้านโดส กว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นวัคซีนที่ผลิตโดยเทคโนโลยีการใช้ไข่ไก่ฟัก ซึ่งมีความปลอดภัยสูง มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพที่ดีเช่นเดียวกับการผลิตด้วยเทคโนโลยีอื่น และเป็นไปตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก
ทั้งนี้ การพัฒนาวัคซีนโดยเทคโนโลยีใช้ไข่ไก่ฟัก พบมีบริษัทอื่นในต่างประเทศใช้สำหรับผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ด้วยเช่นกัน เมื่อ เสร็จสิ้นกระบวนการพัฒนาวัคซีนทั้ง 3 ระยะ ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนตำรับ (Rolling Submissions) กับทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และคาดจะสามารถผลิตวัคซีนเพื่อใช้ในประเทศได้ประมาณ 25-30 ล้านโดสต่อปี รัฐบาลพร้อมสนับสนุนการวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนโควิด-19 โดยใช้เทคโนโลยีการใช้ไข่ไก่ฟักนี้ เป็นอีกหนึ่งแนวทางของการสร้างความมั่นคงและการพึ่งพาตนเองด้านวัคซีนของไทย
"หากในอนาคตวัคซีนได้ผลดี เป็นที่ต้องการมาก เชื่อว่าจะสามารถขยายกำลังการผลิตได้ โดยอาจจะมีภาคีเครือข่ายมาให้การสนับสนุนเพิ่มเติมด้วย ซึ่งความก้าวหน้านี้สะท้อนว่าไทยไม่ได้ขี่ม้าตัวเดียว แต่มีการพัฒนาถึงขั้นเป็นเจ้าของคอกม้าร่วมกับคนไทยทุกคน โดยมีเป้าหมายจะผลิตวัคซีนเพื่อให้ประเทศปลอดภัย รวมทั้งยังสามารถดูแลประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศอื่นๆ ที่ต้องการวัคซีนอีกด้วย" นายอนุทิน กล่าว
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า องค์การฯ ได้ส่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 NDV-HXP-S ไปทำการทดสอบความเป็นพิษในหนู ที่ประเทศอินเดีย พบวัคซีนมีความปลอดภัย และทดสอบประสิทธิภาพ (Challenge study) ในหนูแฮมสเตอร์ (Hamsters) ที่ประเทศสหรัฐฯ โดยผลเบื้องต้นพบวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สอดคล้องกับผลการศึกษาความสามารถในการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ที่วัคซีนสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนหนามของไวรัสโคโรนาได้ดี ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์
ด้าน ศ.พญ.พรรณี ปิติสุทธิธรรม หัวหน้าศูนย์วัคซีน และหัวหน้าโครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 กล่าวว่า วัคซีน NDV-HXP-S ที่ได้ทำการศึกษาวิจัยมี ข้อดี คือ เป็นการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีไข่ไก่ฟักที่ จีพีโอ มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งจัดเก็บได้ในอุณหภูมิ 2-8 องศา ซึ่งเป็นองศาที่มีความเสถียรค่อนข้างสูง ที่สำคัญคือการผลิตวัคซีนนี้ ใช้เชื้อไวรัสที่ไม่ก่อโรคในคน และก่อโรคน้อยมากในนก เรียกว่าไวรัสนิวคาสเซิล พร้อมกับใส่ชิ้นส่วนโปรตีนส่วนหนาม (Spike protein) และใส่สารโปรตีน อะมิโนแอซิด เพื่อให้มีความคงที่ เสถียร และมีภูมิคุ้มกันที่กว้างขึ้น ต่อสายพันธุ์ที่จะมีการกลายพันธุ์ในอนาคต
สำหรับการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 1 จะเริ่มมีการทดสอบในเดือนมีนาคม จำนวนอาสาสมัคร 210 คนและระยะที่ 2 ประมาณเดือนเมษายนพฤษภาคม ในอาสาสมัครอีก 250 คน โดยในการศึกษาระยะที่ 1 และ 2 จะเป็นการประเมินความปลอดภัยความทนทานและความสามารถในการสร้างภูมิคุ้มกันของวัคซีน ทั้งนี้คาดว่าในปี 2565 จะสามารถเริ่มการยื่นขอรับทะเบียนตำรับ และจะทำการผลิตในระดับอุตสาหกรรมที่โรงงานผลิต(วัคซีน) ชีววัตถุ ขององค์การฯ ที่ จ.สระบุรี ซึ่งโรงงานดังกล่าวมีเทคโนโลยีไข่ไก่ฟักที่ใช้ผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อยู่แล้ว พร้อมปรับมาใช้ผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ทันที
นพ.วีรพงษ์ ภูมิรัตนประพิณ กล่าวเสริมว่า การทดสอบวัคซีน NDV-HXP-S ในระยะที่ 1 และ 2 จะทดสอบในอาสาสมัครที่เป็นคนไทย เพื่อผลิตวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ โดยมีการแบ่งการทดสอบในกลุ่มอาสาสมัคร 3 ระยะ ในระยะที่ 1 กลุ่มอาสาสมัครจะได้รับวัคซีน ในกลุ่มวัคซีนหลอก และวัคซีนจริง และในบางกลุ่มที่จะการฉีดสารเสริมเร่งวัคซีน เพื่อประเมินประสิทธิภาพ และคัดเลือกกลุ่มที่ดีที่สุดเข้าสู่การทดลองระยะที่ 2 ในส่วนระยะที่ 3 หากในประเทศมีจำนวนผู้ป่วยน้อย ก็อาจต้องมีการทดสอบในต่างประเทศ
นายอนุทิน กล่าวเพิ่มเติมถึง การนำเข้าวัคซีน Sinovac ของบริษัท Sinovac Biotech ประเทศจีน ว่า หลังจากได้จัดหาวัคซีนจำนวนทั้งสิ้น 63 ล้านโดสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการจัดส่งที่เป็นไปตามเงื่อนไข เพื่อมาทำการฉีดให้กับประชาชนไทยและคนกลุ่มเสี่ยงที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ในส่วนของวัคซีน Sinovac จากประเทศจีนที่ได้มีการสั่งซื้อจำนวน 2 ล้านโดส จะแบ่งการจัดส่งเป็นภายในปลายเดือน ก.พ. ล็อตแรก 2 แสนโดส หลังจากมีการตรวจคุณภาพ ตรวจสูตรการผลิตเรียบร้อย ซึ่ง อย. จะเร่งขึ้นทะเบียนวัคซีนดังกล่าวให้ทันก่อนจะมาถึงไทย โดยเบื้องต้นได้รับข้อมูลเอกสารการผลิตวัคซีน Sinovac จากผู้ผลิตประเทศจีนที่ได้มีการขึ้นทะเบียนการใช้วัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะเริ่มฉีดภายในต้นเดือน มี.ค. ไป พร้อมกับมีการจัดส่งเพิ่มอีก 8 แสนโดส และในเดือน เม.ย.อีก 1 ล้านโดส
หลังจากนั้น ภายในปลายเดือนพ.ค.-มิ.ย. 64 วัคซีนจากแอสตร้า เซนเนก้า ที่ผลิตร่วมกับสยามไบโอ ไซเอนซ์ ในประเทศไทยจะเริ่มทยอยส่งล็อตแรก 26 ล้านโดส ดังนั้น เมื่อดูจากตารางเวลาการจัดส่งวัคซีนนั้นมีความต่อเนื่องกัน จึงอยากให้ประชาชนไว้วางใจในการจัดหาวัคซีน ซึ่งทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แน่นอน
ไทยพบติดเชื้อโควิดเพิ่ม 157 ราย
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 157 ราย ส่วนผู้ป่วยมีการรักษาหายเพิ่ม 548 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 23,903 ราย เป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อภายในประเทศ 21,329 ราย ผู้ป่วยรักษาหายแล้วเพิ่มอีก 548 ราย รวมเป็น 18,914 ราย กำลังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 4,909 ราย ราย โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสม อยู่ที่ 80 ราย. |
| | |
|
|