พ่อแม่คือแบบอย่างที่สำคัญของลูก ในกิจกรรมรณรงค์ "มัม สต๊อป ดริงก์ แม่ไม่ดื่ม" จัดโดย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เผยว่า ปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ของผู้หญิงส่วนใหญ่มาจากความรุนแรงในครอบครัวที่ทำให้เกิดความเครียดสะสม จึงต้องการแสดงออก ต้องการระบายความทุกข์ ขณะเดียวกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ มีปัญหาครอบครัว พฤติกรรม สุขภาพ หลายรายต้องกลายเป็นอัมพฤกษ์เพราะพิษสุราเรื้อรัง ในชุมชนที่เราทำงานด้วย ล่าสุดมีผู้หญิงเสียชีวิตด้วยโรคนี้ถึง 3 ราย และมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล
"มีงานวิจัยที่พบว่าครอบครัวที่มีพ่อหรือแม่ดื่มมีความเสี่ยงที่ลูกโตขึ้นจะดื่มสูงถึง 74 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น การเปิดพื้นที่เปิดโอกาสสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมจึงเป็นสิ่งจำเป็น และผู้ชายต้องดูแลรับผิดชอบภาระในครอบครัว การดูแลบุตรเท่ากับผู้หญิง อย่างไรก็ตามหวังว่ารัฐบาลจะหยิบยกปัญหาผลกระทบจากการดื่มสุราที่เกิดขึ้นไปแก้ไข มีมาตรการที่ชัดเจน" นายจะเด็จกล่าว
นางสุภาแม่ผู้เคยหลงผิดหันไปใช้เหล้าแก้ปัญหาชีวิตสะท้อนความรู้สึกถึงจุดเริ่มต้นของการใช้น้ำเมาเป็นที่พึ่งว่า เริ่มกินเหล้าเพราะประชดชีวิตอยากลืมปัญหาครอบครัวสามีและลูกชายขี้เมา สุดท้ายปัญหาก็ไม่จบแถมยังต้องเผชิญกับโรคต่างๆ ที่รุมเร้าจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ คิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง โชคดีได้เข้าร่วมโครงการลดละเลิกเหล้าทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
"สาเหตุที่ทำให้ติดเหล้าเพราะประชดชีวิตที่สามีทิ้งให้แบกรับปัญหาครอบครัวเพียงลำพัง หนีไปกินเหล้าไม่ยอมกลับบ้าน เมากลับมาก็ทุบตีลูกชายสองคนก็ติดเหล้าติดยา สร้างหนี้สินให้ชดใช้ เวลาเมาก็ทะเลาะกันวุ่นวาย ไม่รู้จะทำยังไงรู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจจนต้องหันไปพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยให้ลืมปัญหา กินเหล้าอยู่ประมาณ 5 ปี รู้สึกตัวอีกทีพบว่าตัวเองเป็นโรคเครียด ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและเหน็บชา เคยฆ่าตัวตายโดยการกรีดแขนตัวเองบ้าง กินยาฆ่าตัวตาย แต่ก็มีคนมาช่วยไว้ทุกครั้ง อยากฝากไปถึงผู้หญิงหรือใครที่กำลังคิดจะหันไปใช้เหล้าเป็นทางออกเพื่อแก้ปัญหาหรือให้ลืมปัญหา อยากให้คิดให้ดี เพราะผลเสียจะเกิดขึ้นกับเราและครอบครัว โดยส่วนตัวอยากให้ลูกเลิกเหล้าเป็นของขวัญ แม้จะไม่สามารถเลิกได้ถาวร แต่ก็อยากให้เลิกดื่มซักวันเพื่อแม่และมาไหว้มากอดแม่บ้าง" นางสุภากล่าว
|