ก่อนหน้านี้เป็นที่ทราบกันดีว่า นักบินอวกาศที่ออกไปปฏิบัติภารกิจบนห้วงอวกาศ จะมีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญต่อการสูญเสียมวลกระดูก ความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อชั่วคราว และความผิดปกติของเส้นประสาท แต่ผลการวิจัยที่มีการเผยแพร่ล่าสุด ระบุว่า นอกเหนือจากโรคที่กล่าวมาเบื้องต้นแล้ว นักบินอวกาศที่ขึ้นไปปฏิบัติหน้าที่บนอวกาศ อาจจะได้รับผลกระทบต่อสมองและการมองเห็นด้วย
ทั้งนี้ ผลวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร เรดิโอโลจี ของสหรัฐอเมริการะบุว่า นักบินอวกาศที่ใช้เวลาอยู่ในอวกาศนานกว่า 1 เดือน จะส่งผล กระทบกับสมองและระบบการมองเห็น ซึ่งอาจส่งผลต่อแผนการทำภารกิจในห้วงอวกาศเป็นระยะเวลานานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจที่จะส่งมนุษย์ไปยังดาวอังคารภายใน 10 ปีนี้ ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานถึง 1 ปีครึ่ง
งานวิจัยดังกล่าวได้ทำการวิเคราะห์ผลการเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอ็มอาร์ไอ) ของนักบินอวกาศจำนวน 27 คน ที่มีระยะเวลาในการปฏิบัติภารกิจในห้วงอวกาศเฉลี่ย 108 วัน คลอบคลุมทั้งภารกิจในกระสวยอวกาศและภารกิจในสถานีอวกาศนานาชาติ (ไอเอสเอส) พบว่านักบินที่ใช้เวลาในห้วงอวกาศนานกว่า 1 เดือน จะมีความผิดปกติของร่างกายอันเกิดขึ้นจากแรงดันในสมอง โดย 33 เปอร์เซ็นต์พบว่า มีการผิดปกติของน้ำหล่อสมองและไขสันหลัง บริเวณเส้นประสาทตา และ 22 เปอร์เซ็นต์ จะพบความผิดปกติที่บริเวณด้านหลังของลูกตา ในขณะที่ 15 เปอร์เซ็นต์ เกิดอาการเส้นประสาทตาปูด และ 11 เปอร์เซ็นต์ พบความผิดปกติที่ต่อมใต้สมอง ซึ่งอยู่ระหว่างเส้นประสาทตาและเชื่อมต่อกับสมองโดยตรง อาการเดียวกันนี้รู้จักกันดีในคนที่ไม่ได้ทำงานในอวกาศว่าอาการปวดศีรษะจากความดันของน้ำไขสันหลังในกะโหลกศีรษะสูง
เมื่อเป็นที่รู้กันว่า นักบินอวกาศมีความเสี่ยงนอกเหนือจากเรื่องของการสูญเสียมวลกระดูกและความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ รวมทั้งความผิดปกติของเส้นประสาทแล้ว และยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบกับสมองและการมองเห็นต่อนักบินอวกาศ จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมทั้งองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ของสหรัฐจะต้องเฝ้าระวังและศึกษาถึงกลไกการเกิดอาการดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้นักบินอวกาศที่ขึ้นไปปฏิบัติภารกิจบนอวกาศเป็นเวลานานต้องสุ่มเสี่ยงกับการเจ็บป่วย
อย่างไรก็ตาม จากผลการวิจัยใหม่ที่พบ ยังไม่มีนักบินอวกาศถูกตัดออกจากโครงการทางอวกาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแต่อย่างใด |