Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์ข่าวสด [ วันที่ 03/01/2563 ]
แก้ชื่อ7วันอันตราย-เป็น7วันความสุข

  นายกฯเสนอไอเดียเอง 6วันปีใหม่ยอด317ศพ
          'บิ๊กตู่' เสนอไอเดียเปลี่ยนชื่อ '7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่' เป็น 7 วัน เทศกาลแห่งความสุข ระบุชื่อเดิมไม่สร้างสรรค์ ด้านศปถ.สรุปอุบัติเหตุ 6 วันเทศกาลปีใหม่ ยอดเสียชีวิต 317 ศพ บาดเจ็บอีก 3,160 คน กรุงเทพฯ ตายมากสุด 14 ราย สงขลาเจ็บเยอะสุด ขณะที่ 7 จังหวัดทำสถิติไม่มีคนตาย ตร.ฟัน 39 ร้านเหล้าขายให้คนเมาแล้วขับ ด้านร้านอู่ซ่อมรถที่ราชบุรีระทึก ลูกปืนปริศนาตกใส่หลังคา เกือบโดนถังแก๊ส อีกรายที่บุรีรัมย์ หวิดโดน 2 หนูน้อย ขณะเดียวกันชาวบ้านแห่นำทรัพย์สินไปจำนำแน่นสถานธนานุบาลเทศบาลบุรีรัมย์วันเดียว นับพัน
          6วันปีใหม่เสียชีวิต 317 ศพ
          เมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย เป็นประธานแถลงข่าวสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ โดยรวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 1 ม.ค. 2563 ซึ่งเป็นวันที่หกของการรณรงค์ "ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร" พบว่าเกิดอุบัติเหตุ 547 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 55 ราย ผู้บาดเจ็บ 577 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ดื่มแล้วขับ ร้อยละ 39.31 ขับรถเร็ว ร้อยละ 28.34 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 79.35 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง 65.81 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 36.75 ถนนในอบต./หมู่บ้าน ร้อยละ 35.83 ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 00.01-04.00 น. ร้อยละ 30.71 ทั้งนี้ ตั้งจุดตรวจหลัก 2,036 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 64,989 คน เรียกตรวจยานพาหนะ 1,014,405 คัน มีผู้ถูกดำเนินคดี รวม 246,328 ราย ความผิดฐานไม่สวมหมวกนิรภัย 61,416 ราย และไม่มีใบขับขี่ 55,467 ราย
          นายทรงศักดิ์กล่าวต่อว่า จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ สงขลา 32 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ราชบุรี และอุดรธานี จังหวัดละ 4 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ สงขลา 35 คน สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 6 วันของการรณรงค์ (27 ธ.ค.62-1 ม.ค.63) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,076 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 317 ราย ผู้บาดเจ็บ 3,160 คน จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) 7 จังหวัด ได้แก่ ตราด พะเยา ภูเก็ต แม่ฮ่องสอน ยะลา ลำพูน และสตูล จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ สงขลา 95 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ 14 ราย และจังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ สงขลา 100 คน
          "ประชาชนบางส่วนยังคงอยู่ระหว่างการเดินทางกลับจากภูมิลำเนา ศปถ.จึงประสานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนตลอดเส้นทางอย่างต่อเนื่อง ดำเนินการแก้ไขปัญหาการจราจร โดยเปิดช่องทางพิเศษเพื่อเร่งระบายรถ และปิดจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ
          'อนุพงษ์'แนะวิเคราะห์สถิติ
          วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวถึงช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่ว่า ทั้งตัวเลขจำนวนอุบัติเหตุ บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะยอดผู้เสียชีวิตลดลงได้อย่างมีนัยยะ แต่ยังเหลืออีก 1 วัน ถ้าเป็นไปตามนี้ สิ่งที่น่าจะต้องทำคือต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่ามาตรการใดที่ทำแล้วเกิดผลให้มียอดลดลง แต่ถ้าเป็นจำนวนทั้งโลกแล้ว เรายังถือว่าสูงอยู่ ฉะนั้นจะต้องทำ ทั้งวิเคราะห์ถึงมาตรการใดที่ทำให้ยอดการเสียชีวิตใน 7 วันนี้ลดลง แล้วจะต้องทำต่อเนื่องเพื่อลดให้ได้มากกว่านี้ อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายมีมาตรการและบังคับใช้กฎหมาย ทั้งรณรงค์ให้ความสะดวก ทุกคนทุ่มเทเพื่อที่จะไปดูแลในพื้นที่ และแต่ละพื้นที่มีการวางแผนปรับแผนไปตามสถานการณ์ ซึ่งก็ได้ทำกันอย่างเข้มแข็ง
          เมื่อถามถึงถนนสายหลักสายรองเป็นมาตรการที่ได้ผลหรือไม่ พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ขอวิเคราะห์ถึงจำนวนอุบัติเหตุ  ก่อนว่าเป็นอย่างไร ถนนสายหลักสายรองอย่างไหนมีอุบัติเหตุมากกว่ากัน ซึ่งมันมี   นัยยะ ต้องดูว่ามันเกิดเหตุที่ไหนบ้าง แต่ถ้าเราสามารถลดเหตุที่ถนนสายรองจริงก็ต้องดูว่าเป็นมาตรการอะไร ถ้าได้ผลคงทำต่อเนื่องไป
          'บิ๊กตู่'แนะเปลี่ยนชื่อ7วันอันตราย
          ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมครม.ว่า อยากให้ยกเป็นกรณีศึกษายอดผู้บาดเจ็บและสูญเสียจากการจราจรช่วงปีใหม่ จะต้องพิจารณาว่าเป็นการเสียชีวิตลักษณะใด รวมถึงช่วงเวลาเพื่อนำไปแก้ไขต่อไป ทั้งนี้หน่วยงานราชการทำเต็มที่แล้ว ก็เป็นเรื่องของประชาชนที่ต้องระมัดระวังตัวเองด้วย แม้ว่าจากการรายงานยอดการสูญเสียจะน้อยลง แต่ตนก็ไม่สบายใจเพราะยังมีผู้เสียชีวิตกว่าร้อยคน หวังว่าในช่วงต่อไปเช่นเทศกาลสงกรานต์จะทำอย่างไรที่จะลดผู้เสียชีวิตลงได้
          "สำหรับชื่อ 7 วันอันตรายฟังแล้วไม่สร้างสรรค์ อยากให้เปลี่ยนเป็น 7 วันเทศกาลแห่งความสุขได้หรือไม่เพื่อให้นึกถึงความสุขและความปลอดภัย เพราะมีผล กระทบทั้งตนเอง ลูกหลาน และค่ารักษาพยาบาล จึงมีความจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจประเภทนี้ พร้อมกันนี้ผมให้แนวคิดเรื่องการทำถนนหนทางหรือการขยายช่องทางจราจรให้มากขึ้น หากมีความเป็นไปได้สามารถสร้างให้เส้นทางใดเสร็จก่อนก็ให้ดำเนินการทันที รวมถึงการปลูกสร้าง ขอให้อยู่ห่างไกลจากถนนหลักป้องกันปัญหาในอนาคตหากมีการขยายถนนออกไป"
          พล.อ.ประยุทธ์กล่าวต่อว่า ในที่ประชุมครม.วันนี้ มีการสรุปผลการดำเนินการจัดงานปีใหม่ในแต่ละพื้นที่ และขอบคุณเจ้าหน้าที่และจิตอาสาที่เข้ามาช่วยกันจำนวนมาก ทำให้การจัดงานปีใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งพื้นที่กทม.และต่างจังหวัด รวมถึงการช่วยกันดูแลปัญหาจราจร ทั้งนี้ปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากถนนสายรองและผู้ที่สูญเสียคือวัยหนุ่มสาว เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงเพราะสถิติการเพิ่มของประชากรน้อยลง การสูญเสียคนหนุ่มสาวเท่ากับสูญเสียแรงงาน ขอย้ำทุกภาคส่วนต้องช่วยกันรัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้ อย่างในพื้นที่กทม.มีผู้ร้องเรียนผู้ใช้รถจักรยานยนต์จำนวนมากว่ามีการขับรถปาดซ้ายปาดขวาหรือแซงขึ้นมาอยู่ต้นทางไฟแดง ทำให้เกิดการกระทบกระทั่งและความไม่เอื้ออาทรต่อกัน เมื่อรถติดไฟแดงรถอยู่ตรงไหนก็ขอให้อยู่ตรงนั้น ไม่ต้องพยายามขึ้นมาข้างหน้า
          ด้านนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาล แถลงผลการประชุมครม.ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทยรายงานครม.รับทราบถึงสถิติความสูญเสียอุบัติเหตุทางถนน ในช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา ลดลงกว่าปีที่ผ่านมาอย่างมีนัยยะสำคัญ ซึ่งจะนำสถิติไปวิเคราะห์ เพื่อปรับแผน และมาตรการในการดูแลความปลอดภัยบนท้องถนนของประชาชนต่อไป
          "นายกฯ อยากให้เปลี่ยนชื่อจาก 7 วันอันตรายเป็น 7 วันแห่งความสุข และได้สั่งการเพิ่มเติมให้มีการนำข้อมูลรายวัน รายงานเป็นช่วงเวลาว่าเกิดอุบัติเหตุช่วงใดบ้าง รถประเภทใด และสาเหตุมาจากอะไรให้ชัดเจน เพื่อจะได้วางแผนป้องกันได้ถูกต้อง" นางนฤมลกล่าว
          ตร.ฟัน 39 ร้านเหล้าขายให้คนเมาขับ
          ด้านพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยถึงการรักษาความปลอดภัยและการจัดการจราจรของตำรวจในเทศกาลปีใหม่ 2563 ว่า จากข้อมูลของศูนย์อำนวยการและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 สรุปอุบัติเหตุทางถนน ช่วงวันที่ 27 ธ.ค. 2562-1 ม.ค. 2563 มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุ 3,076 ครั้ง ลดลง 346 ครั้ง จากช่วงเดียวกันของเทศกาลปีใหม่ 2562, มีผู้บาดเจ็บ 3,160 คน ลดลง 341 คน จากช่วงเดียวกันของเทศกาลปีใหม่ 2562 และผู้เสียชีวิต 317 คน ลดลง 102 คน จากช่วงเดียวกันของเทศกาลปีใหม่ 2562
          สำหรับสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ขับรถขณะเมาสุรา และขับรถโดยใช้ความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด โดยสถิติสะสม ช่วง 27 ธ.ค. 62-1 ม.ค. 63 อุบัติเหตุจากการขับรถขณะเมาสุรา คิดเป็น 33.81% ลดลง -7.46% จากช่วงเดียวกันของเทศกาลปีใหม่ 2562 และยานพาหนะที่เกิดเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ และรถกระบะ
          ส่วนมาตรการทางกฎหมาย ในการขยายผลและการดำเนินคดีกับร้านค้าหรือสถานบริการที่ปล่อยปละละเลยให้เด็กและเยาวชนไปใช้บริการ ภายหลังเกิดอุบัติเหตุโดยขับขี่รถขณะเมาสุรา ตั้งแต่วันที่ 27-31 ธ.ค.62 ดำเนินการขยายผลไปแล้ว 39 ราย ดำเนินคดีตามความผิดพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มฯ 9 ราย, ตามความผิดพ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ 6 ราย, ไม่เข้าความผิด 16 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินการ 8 ราย
          รองโฆษก ตร.กล่าวต่ออีกว่า สำหรับโครงการประชารัฐร่วมใจดูแลความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้านไว้กับตำรวจ) ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ระหว่างวันที่ 24 ธ.ค. 2562-1 ม.ค. 2563 มีประชาชนฝากบ้านไว้กับตำรวจทั่วประเทศ 9,468 หลัง มากกว่าช่วงปีใหม่ 2562 จำนวน 292 หลัง คิดเป็น +3.08%
          คาดทยอยกลับแน่นอีก 4-5 ม.ค.
          วันเดียวกัน พ.ต.อ.เอกราช ลิ้มสังกาศ รองผบก.ตำรวจทางหลวง เปิดเผยสถานการณ์การเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ของประชาชน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 ว่า จากข้อมูลของระบบการนับปริมาณรถของกรมทางหลวง พบว่าตั้งแต่เมื่อวานจนถึงขณะนี้มีรถเดินทางเข้ากรุงเทพฯ แล้ว กว่า 640,000 คัน พ.ต.อ.เอกราชกล่าวต่อว่า จากการคาดการณ์สภาพการจราจรในวันนี้ของตำรวจทางหลวง เชื่อว่าในหลายจุดจะมีปริมาณรถมากกว่าเมื่อวาน และจะทยอยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ตลอดทั้งวัน และจะมีประชาชนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มากอีกครั้งช่วงวันที่ 4-5 ม.ค. เพราะมีโรงงานอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกจะเปิดทำการอีกกว่า 50% ในวันที่ 6 ม.ค. ขอให้ประชาชนตรวจสอบสภาพของคนขับให้พร้อม หากง่วงหรือไม่ไหวให้จอดพักทันที และต้องตรวจสอบสภาพของรถให้พร้อม หากไม่มั่นใจ สามารถแวะจุดพักรถที่มีจุดตรวจสภาพรถตลอดเส้นทางได้
          นับแสนแห่กลับเข้ากรุง
          วันเดียวกัน ที่สถานีขนส่งกรุงเทพฯ จตุจักร หรือหมอชิต 2 มีประชาชนทยอยเดินทางเข้ากรุงเทพฯอย่างต่อเนื่อง โดยบริเวณชานชาลาที่ 1 ซึ่งเป็นจุดที่จอดรถทัวร์ให้ประชาชนที่เดินทางจากต่างจังหวัดกลับเข้ามากรุงเทพฯ ทั้งสายเหนือและอีสาน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ ขสมก.คอยอำนวยความสะดวก และจัดรถตู้ตำรวจ รถโดยสารของ ขสมก. ไว้รับส่งประชาชนฟรี ไปยังสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต สถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทั้งนี้ บริเวณจุดบริการรถแท็กซี่มิเตอร์มีประชาชนมารอใช้บริการจำนวนมาก ซึ่งปริมาณรถแท็กซี่สาธารณะที่เข้ามายังบริเวณจุดนี้ไม่เพียงพอกับจำนวนประชาชนที่มาใช้บริการ
          ด้านนายจิรศักดิ์ เยาว์วัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) เผยว่า วันนี้เป็นวันที่สองที่ประชาชนเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งเมื่อวันที่ 1 ม.ค. ประชาชนเดินทางกลับเข้ามารวม 3 สถานี คือสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (จตุจักร) สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (เอกมัย) และสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ (ถนนบรมราชชนนี) ประมาณ 410,000 คน สำหรับวันนี้น่าจะมีประชาชนเดินทางเข้ามาประมาณ 1 แสนคน
          ส่วนสถานีรถไฟหัวลำโพง ตลอดทั้งวันมีประชาชนจำนวนมากทยอยเดินทางกลับเข้ามากรุงเทพฯ หลังเสร็จสิ้นการฉลองเทศกาลปีใหม่ในต่างจังหวัด
          บุรีรัมย์แห่จำนำทอง
          วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนแห่นำทรัพย์สินของมีค่า โดยเฉพาะทองคำรูปพรรณไปจำนำที่สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ซึ่งเปิดบริการ วันแรก หลังหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ติดกัน 5 วัน เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในครอบครัว และเป็นค่าเดินทางกลับไปทำงานตามจังหวัดต่างๆ หลังจากฉลองปีใหม่จนขาดสภาพคล่อง ขณะที่บางส่วนนำเงินที่บุตรหลานให้ไว้ในช่วงกลับมาเยี่ยมบ้านไปส่งดอกเบี้ย และไถ่ถอนทรัพย์สินมีค่า เช่น ทองคำรูปพรรณ ผ้าไหม และสิ่งของที่นำไปจำนำไว้กับสถานธนานุบาลช่วงที่จำเป็นต้องใช้เงินก่อนหน้านี้คึกคักเช่นเดียวกัน คาดว่าวันนี้จะมีประชาชนมาใช้บริการทั้งจำนำ ไถ่ถอน และส่งดอกเบี้ยคึกคักตลอดทั้งวันไม่น้อยกว่า 1,000 ราย เพราะเปิดทำการวันแรก จากปกติจะมีลูกค้ามาใช้บริการวันละ 400 - 500 ราย ขณะที่ทางเทศบาลเตรียมเงินสดไว้รองรับให้บริการประชาชนกว่า 150 ล้านบาท
          น.ส.ปิยะดา วงศ์ละคร ผู้จัดการสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ กล่าวว่า วันนี้ซึ่งเปิดทำการวันแรกหลังหยุดยาว 5 วัน มีประชาชนมารอใช้บริการ ทั้งจำนำและส่งดอกเบี้ยคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า เพื่อนำเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายและเดินทางกลับไปทำงาน บางส่วนได้เงินจากลูกหลานที่กลับมาเยี่ยมบ้าน แล้วนำมาส่งดอกเบี้ย และไถ่ถอนทรัพย์สินมีค่าที่นำมาจำนำไว้ในช่วงที่จำเป็นต้องใช้เงิน คาดว่าจะมีลูกค้ามาใช้บริการคึกคักไปตลอดทั้งสัปดาห์นี้
          โผล่อีกที่บุรีรัมย์ลูกปืนตกใส่บ้าน
          ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากชาวบ้านไทยพัฒนา คุ้มหลังคาเขียว หมู่ 17 ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ว่า มีลูกกระสุนปืนปริศนาตกใส่หลังคาบ้านทะลุฝ้าเพดาน ก่อนตกลงมาถึงพื้น หวิดโดนหลาน 2 คนที่นอนอยู่ในห้องเดียวกัน
          นางสะอาด ชุมพล อายุ 55 ปี อยู่เลขที่ 205/3 หมู่ 17 ต.เสม็ด เจ้าของบ้าน พาผู้สื่อข่าวไปชี้จุดร่องรอยบนฝ้าเพดาน ซึ่งเชื่อว่าเป็นร่องรอยของกระสุนปืนที่ตกจากท้องฟ้า ทะลุลงมา โดยวันที่ 1 ม.ค. เข้าแจ้งความต่อพ.ต.ต.เอกพงศ์ เดชพรมรัมย์ สารวัตร (สอบสวน) สภ.เมืองบุรีรัมย์ ซึ่งตำรวจเก็บหัวกระสุนปืนไว้เป็นหลักฐานในทางคดีแล้ว
          นางสะอาดกล่าวว่า เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ตนกับลูกสาวและลูกเขย และหลานอีก 2 คน นั่งกินฉลองกันในตอนหัวค่ำ จากนั้นลูกสาวกับลูกเขยออกไปเที่ยวงานเคานต์ดาวน์ที่สนามฟุตบอล "ช้าง อารีน่า" หลังจากร่วมฉลองกันเสร็จ ตนก็ล้างถ้วยชาม จนถึงเวลาประมาณ 24.00 น.ซึ่งจะเป็นเวลาที่นับถอยหลัง ได้ยินเสียงประทัด และเสียงอื่นๆ ดังรอบหมู่บ้าน ทั่วบริเวณ ทันใดนั้นได้ยินเสียงดังสนั่นภายในตัวบ้าน จึงรีบไปดูหลานสองคนที่นอนในห้อง คิดว่าทำของหล่น ปรากฏว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ตนก็ไปล้างถ้วยชาม จนเสร็จแล้วเข้านอน ส่วนลูกสาวกับลูกเขยกลับมาถึงบ้านเมื่อเวลาประมาณ 02.00 น.ก็เข้านอนตามปกติ กระทั่งรุ่งเช้าวันที่ 1 ม.ค. ตนทำความสะอาดบ้าน พบหัวกระสุนปืน ตนตกใจมาก เมื่อแหงนไปดูบนฝ้าเพดาน พบรูกระสุนทะลุลงมา จึงแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ พบว่าเป็นกระสุนปืนทะลุเข้ามาจริง
          นางสะอาดกล่าวด้วยว่า เมื่อคิดย้อนหลังตนหวาดเสียวไม่หาย เพราะกระสุนที่เก็บได้ ห่างจากห้องหลานเพียง 20 ซ.ม. ถ้ากระสุนตกกลางห้อง ไม่รู้ว่าจะโดนหลานคนไหน ยอมรับว่าคืนนั้นมีเสียงปืนดังสนั่นทั่วบริเวณจำนวนมาก โดยเฉพาะหมู่บ้านอยู่ไม่ห่างจากค่ายทหารมากนัก อยากวิงวอนให้หยุดการยิงปืนฉลองเพราะอาจจะเกิดอันตรายที่อาจไม่คาดคิดได้
          สำหรับเหตุการณ์ลูกปืนปริศนาตกใส่หลังคาบ้านเกิดขึ้นบ่อยในคืนเคานต์ดาวน์ปีใหม่ ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นที่จ.ลำพูน 1 จุด และสุราษฎร์ธานี 2 จุด
          ลูกปืนตกใส่หลังคาอู่ซ่อมรถ
          วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดเหตุลูกปืนตกใส่หลังคาอู่ซ่อมรถชื่ออู่ประกิตเซอร์วิส เลขที่ 231 ม.1 ต.เจดีย์หัก อ.เมือง จ.ราชบุรี ของนายประกิต เรืองโรจนพร อายุ 57 ปี พบกระสุนปืนไม่ทราบขนาดตกอยู่ใกล้ถังแก๊สติดรถยนต์ ความจุ 58 ลิตร ซึ่งภายในถังแก๊สยังมีแก๊สเหลืออยู่ ลูกกระสุนปืนตกห่างเพียง 15 ซ.ม.เท่านั้น ส่วนที่หลังคากระเบื้องของอู่พบเป็นรูโหว่ คาคว่าน่าจะเป็นรอยของรูกระสุนที่ตกใส่
          นายประกิตเล่าว่า ตนเปิดอู่ซ่อมรถยนต์มานานแล้ว และพักอาศัยอยู่ที่อู่แห่งนี้กับครอบครัว รวม 8 คน มีเด็กอายุเพียง 1 ขวบเศษ 1 คน และอายุ 11 ขวบ อีก 1 คน โดยเมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 1 ม.ค.63 คือคืนวันขึ้นปีใหม่ ตนได้ยินเสียงดังเหมือน เสียงพลุ เสียงประทัด และเสียงปืน จากนั้น สักครู่ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรตกลงมาใส่หลังคาอู่ แต่ไม่ได้ออกไปดู เนื่องจากคิดว่าเป็นเสียงเศษก้อนหินตกใส่ จากนั้นรุ่งเช้าตนกับครอบครัวและลูกน้องทำความสะอาดอู่เพื่อทำบุญ ช่วงที่ลูกน้องกำลังเก็บกวาดอู่อยู่นั้น พบหัวลูกปืนตกอยู่ใกล้ถังแก๊สติดรถยนต์ ซึ่งภายในนั้นมีแก๊สเหลืออยู่ด้วย เมื่อมองขึ้นไปยังหลังคาอู่พบรูโหว่ ตนตกใจมาก เพราะจุดที่ลูกปืนตกใส่อยู่ห่างถังแก๊สติดรถยนต์ขนาดความจุ 58 ลิตรที่ลูกค้านำมาซ่อมแล้วให้ทางอู่ถอนออก แต่ยังไม่ได้นำกลับไป เพียงนิด ถ้าโดนถังแก๊สก็อาจทำให้เกิดระเบิดได้ จึงให้ลูกน้องเก็บหัวลูกปืนไว้เป็นหลักฐานเพื่อแจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาตรวจสอบ เนื่องจากวันที่ 1 ม.ค.ตนต้องรีบเดินทางไปต่างจังหวัด จึงไม่ได้ไปแจ้ง เจ้าหน้าที่ให้มาตรวจสอบ จนวันนี้ตนเปิดอู่ซ่อมรถแต่เช้าและตั้งใจจะไปแจ้งเจ้าหน้าที่ แต่มีรถลูกค้าเข้ามาซ่อมจำนวนมาก ตนจึงยังไม่มีเวลาไปแจ้ง
          "อยากฝากถึงกลุ่มที่ยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อฉลองปีใหม่ด้วยความคึกคะนอง อย่าทำแบบนั้นเลย อาจถูกจับดำเนินคดีได้ ครั้งนี้ถือว่าผมและครอบครัวโชคดีลูกปืนที่ตกนั้นไม่โดนถังแก๊ส จึงไม่มีใครบาดเจ็บ แต่ถ้าเกิดโดนถังแก๊สขึ้นมาคิดว่าคงเกิดระเบิดขึ้นอย่างแน่นอน และครอบครัวของผมก็ต้องได้รับอันตราย เพราะถ้าเกิดระเบิดขึ้นถังแก๊สอีกเกือบ 40 ลูกที่อยู่ด้านหลังคงจะระเบิดด้วย อยากฝากเตือนกลุ่มที่ชอบยิงปืนขึ้นฟ้า เพื่อฉลองปีใหม่ด้วยความคึกคะนองว่าอย่าทำเลย เพราะอาจทำให้คนอื่นเดือดร้อนและรับเคราะห์โดยไม่รู้เรื่อง" นายประกิตกล่าว
          ล่ามือมืดโทร.ป่วน'สุวรรณภูมิ'
          วันเดียวกัน ที่สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 1 ม.ค. เวลา 14.30 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับแจ้งว่า เวลา 13.34 น. มีผู้ไม่หวังดีโทร.มายังเบอร์คอลเซ็นเตอร์ของท่าอากาศยาน ว่า จะเกิดเหตุร้ายขึ้นที่ท่าอากาศยาน โดยเบอร์ที่โทร.มาเป็นเบอร์โทรศัพท์เคลื่อนที่ คาดว่าน่าจะเป็นชาวต่างชาติ
          เบื้องต้นการท่าอากาศยานมีการตรวจสอบมาระดับหนึ่งแล้ว ก่อนมาแจ้งความ โดยก่อนหน้านี้มีกรณีโทร.ข่มขู่ลักษณะนี้จากผู้ไม่หวังดีบ่อยครั้ง ซึ่งสภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะสืบสวนติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
          พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีมีโทรศัพท์ปริศนาโทร.ข่มขู่ว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมินั้นว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าเป็นใคร เหตุการณ์แบบมีขึ้นบ่อยที่มีการโทร.มาแล้วไม่ใช่เรื่องจริง แต่เราไม่เคยประมาท ทุกครั้งที่มีโทร.มาแจ้ง เจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะมีมาตรการตรวจสอบ ส่วนมาตรการการสืบสวนก็เป็นไปตามระบบ ทั้งนี้ไม่ได้สั่งให้คุมเข้ม ไม่มีการยกระดับอะไร ส่วนการข่าวนั้นยังปกติ ไม่พบสิ่งบอกเหตุใดๆ แต่เราก็ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เรามีมาตรการป้องกันรองรับอยู่แล้ว

 pageview  1210952    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved