จักษุแพทย์ย้ำ'อาหารเสริม-วิตามิน'ไม่ใช่ยาวิเศษ
นพ.มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัญหาหนึ่งที่ทำให้การดำรงชีวิตของผู้สูงอายุยากลำบากคือ ปัญหาตามัว เช่น โรคต้อกระจก โรคต้อหิน โรคจุดรับภาพเสื่อมในผู้สูงอายุ เป็นต้น ดังนั้น จึงมีการคิดหาวิธีป้องกันรักษาเพื่อให้สุขภาพตาดี มีการมองเห็นดีขึ้น และหายจากโรคที่เป็นอยู่ ซึ่งปัจจุบันยาวิเศษแบบนั้นไม่มีอยู่จริง ในขณะที่โรคส่วนใหญ่สามารถป้องกันและรักษาได้หากได้รับคำแนะนำและการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนการดูแลสุขภาพโดยการใช้วิตามินหรืออาหารเสริม ข้อมูลในปัจจุบันพบว่าวิตามินหรือสารอาหารบางชนิดอาจจะมีประโยชน์ในการป้องกัน บำรุงสุขภาพ เฉพาะบางภาวะ บางโรคเท่านั้น และควรอยู่ในความควบคุมดูแลจากแพทย์ก่อนการใช้วิตามิน อาหารเสริมเพื่อความปลอดภัย
พญ.สายจินต์ อิสีประดิฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวเพิ่มเติมว่า งานวิจัยขนาดใหญ่ในอเมริกาซึ่งสนับสนุนโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐ ชื่อ Age-Related Eye Disease Study (AREDS.2001-2006) ทดลองให้ผู้สูงอายุทานวิตามินรวม (วิตามินซี 500 mg วิตามินอี 400 หน่วย IU เบต้าแคโรทีน 50 mg สังกะสี 80 mg) ทุกวันติดต่อกัน 5 ปี ผลคือ วิตามินรวม ไม่ช่วยชะลอหรือลดต้อกระจกที่มีอยู่เลย แต่ช่วยลดความเสี่ยงการลุกลามของโรคจุดรับภาพเสื่อมได้ 25% เฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น
พญ.สายจินต์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม วิตามินหรืออาหารเสริมปัจจุบันที่จำหน่ายมักจะมีคำว่า อาจจะกำกับอยู่ด้วย เช่น อาจช่วยชะลอต้อกระจก อาจมีส่วนช่วยการมองเห็น อาจช่วยส่งเสริมสุขภาพตา เป็นต้น ดังนั้น ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือยืนยันว่าการทานวิตามินใดๆ ช่วยทำให้การมองเห็นดีขึ้นได้ ฉะนั้นหากมีอาการผิดปกติทางตาควรปรึกษาจักษุแพทย์ทันที สำหรับวิธีการดูแลดวงตาคือ สวมแว่นกันแดดเมื่อออกกลางแจ้ง รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบ 5 หมู่ การทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 สูง อาจช่วยให้ผู้ป่วยที่มีภาวะตาแห้งสบายตาขึ้น อาหารที่มีโอเมก้า 3 สูงพบได้ในเนื้อปลาที่มีกรดไขมันดีสูง เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า โปรตีนจากธัญพืชต่างๆ แหล่งอาหาร อื่นๆ ที่ดีต่อสุขภาพดวงตา เช่น ผักโขม หรือผักใบเขียวเข้ม นอกจากนี้ ผัก ผลไม้ที่มีสีเหลืองหรือส้ม เช่น แครอต ฟักทอง เป็นแหล่งของวิตามินเอสูง ดีต่อการทำงานของจอประสาทตา ที่สำคัญการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และมีการป้องกัน ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี โดยเฉพาะโรคที่ส่งผลกระทบต่อดวงตา เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ก็จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อดวงตาที่จะตามมาในอนาคตได้ |