เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ทญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ผู้แทนเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เปิดเผยข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO ) หรือฮู ที่ระบุว่าคนไทยรับประทานน้ำตาลสูงกว่าเกณฑ์ของฮูถึง 3 เท่า โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่นิยมเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาล ฮูจึงแนะนำให้พิจารณาใช้มาตรการทางภาษีอาหาร เพื่อจัดการกับวิกฤตโรคอ้วนและโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ไขมันโซเดียม และพลังงานสูง เพราะข้อมูลวิชาการแสดงให้เห็นว่าการเก็บภาษีอาหารและเครื่องดื่มพลังงงานสูง จะสกัดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้ นอกจากนี้รัฐยังได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น โดยไม่เพิ่มภาระแก่ประชาชนอย่างที่อุตสาหกรรมน้ำอัดลมกล่าวอ้าง
ด้านทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ เปิดเผยว่าการปรับปรุงภาษีน้ำอัดลมและเครื่องดื่มที่มีรสหวาน เป็นสิ่งที่ควรทำมากสุดก่อนขยายไปหาอาหารประเภทอื่นๆ เพราะเทียบกับประเทศอื่นๆ แล้ว น้ำอัดลมในประเทศไทยมีราคาถูก และหวานมากกว่าอีกหลายประเทศ โดยยี่ห้อที่หวานมากจะครองตลาดสูงสุดในแต่ละกลุ่ม หากขึ้นราคาน้ำอัดลมจะทำให้การบริโภคลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน ฉะนั้นการขึ้นภาษีน้ำอัดลมจึงเป็นเรื่องที่มีแต่ได้กับได้ เพราะนอกจากสังคมได้สุขภาพแล้ว รัฐยังได้งบประมาณเพิ่มขึ้น
ขณะที่นายอิศรา ศานติศาสน์ นักวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดเผยว่า ครัวเรือนในเขตกทม.และภาคกลาง ต้องจ่ายค่าน้ำอัดลมมากกว่าภาคเหนือและภาคใต้ ถึง 2 เท่า ดังนั้นการเพิ่มราคาเครื่องดื่มน้ำอัดลมร้อยละ 10 จะทำให้ครัวเรือนไทยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียงประมาณร้อยละ 0.034 ซึ่งการขึ้นราคาในอัตราดังกล่าวจะไม่ได้มีผลต่อค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อเท่าไร- |