เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ที่โรงพยายาลพระมงกุฎเกล้า นพ.สุทธจิต ลีนานนท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมทั่วไป โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน แนวโน้มผู้ป่วยโรคอ้วนเกินขนาดมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าวิตก โดยประชากรไทย 2 ใน 3 มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) 25-30 และกว่า 10 ล้านคน เป็นผู้ป่วยโรคอ้วนเกินขนาด หรือมีค่า BMI 35-40 ส่งผลให้เสี่ยงต่อชีวิต ในการป่วยด้วยโรคแทรกซ้อน อาทิ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองแตก ไขมันในเลือดสูง โรคไขข้อและกระดูกพรุน โรคหยุดหายใจขณะเวลาหลับ และพบว่าผู้ป่วยโรคอ้วน 14% เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งหลอดอาหารมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งตับ มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งตับอ่อน มะเร็งไต มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก และมีโรคแทรกซ้อนมากกว่า 1 โรค โดยผู้ที่มีค่า บีเอ็มไอ เกิน 35 มีอัตราเสียชีวิตสูงกว่าปกติถึง 2,000 เท่า
          นพ.สุทธจิต กล่าวอีกว่า การรักษาโรคอ้วนเกินขนาดจะให้วิธีการผ่าตัด ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีนวัตกรรมการผ่าตัดโรคนี้ 3 วิธีหลักที่ได้ผลดีคือ 1.การผ่าตัดบายพาส (Roux-en-y Gastric Bypass) เป็นการผ่าตัดกระเพาะอาหารด้านบนให้มีขนาดเล็กและตัดเอาลำไส้ส่วนล่างเข้าไปต่อใหม่ เพื่อลดปริมาณการรับประทานอาหารและลดการดูดซึมอาหาร 2.การผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve Gastrectomy) เป็นการผ่าตัดให้กระเพาะมีรูปร่างคล้ายกล้วยหอม โดยตัดกระเพาะส่วนล่างออกไปจากร่างกาย คนไข้จะมีขนาดกระเพาะอาหารที่เล็ก ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และ 3.การผ่าตัดรัดกระเพาะอาหาร (Gastric Banding) คือการผ่าตัดโดยนำซิลิโคน แบนด์ไปวางและรัดไว้ที่ขั้วของกระเพาะอาหาร เพื่อให้คนไข้รับประทานอาหารได้น้อยลง ที่ผ่านมา 8 ปี โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าผ่าตัดรักษาผู้ปวยโรคอ้วนไปแล้วประมาณ 300 ราย ส่วนใหญ่เป็นการผ่าตัดวิธีบายพาส 75% แบบสลีฟ 20% และแบนดิ้ง 5% ประสบความสำเร็จค่อนข้างสูงถึงกว่า 80% ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้ง 3 วิธีไม่แตกต่างกัน ประมาณ 2-2.5 แสนบาท