ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ
โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร. 1719
การนอนหลับทำให้ร่างกายได้พักฟื้นจากความเหนื่อยล้าจากการทำกิจกรรมตลอดวันที่ผ่านมา กังนั้นหากเราสามารถนอนหลับได้ปกติก็จะมีสุขภาพที่ดีในทางตรงกันข้าม หากใครที่มีปัยหาการนอน ไม่ว่าจะเป็นปัญหานอนไม่หลับหรือปัญหาง่วงนอนมากเกินไป ก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันได้
สำหรับประเทศไทยพบว่าร้อยละ 50 ของผู้ป่วยที่มาตรวจที่หน่วยตรวจปฐมภูมิของโรงพยาบาลมีปัญหาด้านการนอนร่วมด้วย โดยเฉพาะปัยหานอนไม่หลับ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุด
การปรับสภาพแวดล้อมและสมดุลของร่างกายให้เหมาะสมกับการนอนหลับ
การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ Circadian rhythm
- เข้านอนเมื่อรู้สึกง่วงนอน
- จัดห้องนอนให้เงียบ มีอุณหภูมิเหมาะสม และมีแสงสว่างรบกวนน้อยที่สุด
- ไม่ควรใช้ห้องนอนสำหรับกิจกรรมอื่น นอกจากการนอนหลับ เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกม
- เข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันเป็นประจำทุกวัน
- ถ้าไม่สามารถหลับได้ภายใน 15-20 นาที อย่าพยายามฝืนต่อ แนะนำให้ลุกขึ้นจากที่นอน เพื่อทำกิจกรรมอื่นๆ สักพักจนเกิดความรู้สึกง่วงนอนใหม่แล้วจึงค่อยกลับไปนอน
การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ Homeostasis (ระบบสมดุลในร่างกาย) โดยเพิ่มสิ่งที่ทำให้ง่วง และลดสิ่งเร้าที่ทำให้รู้สึกตื่นตัว
- งดการงีบหลับในช่วงเวลากลางวัน
- งดใช้ยาหรือสารที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการตื่นตัว เช่น กาเฟอีน แอลกอฮอล์ ในช่วงเวลาเย็นและค่ำ
- งดอาหารมื้อใหญ่ในช่วงใกล้เวลาเข้านอน
- ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงใกล้เวลาเข้านอน
- งดกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวอย่างมาก เช่น การดูหนังสยองขวัญ ก่อนเข้านอน การรักษาด้วยการใช้ยา (Pharmacologic treatment)
การรักษาภาวะนอนไม่หลับด้วยยานั้น เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในสังคม ยาเหล่านี้มักถูกเรียกว่า "ยานอนหลับ" แต่แท้จริงแล้วยานอนหลับไม่ได้หมายถึงยาชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มของยาหลากหลายชนิดที่มีผลโดยตรงหรือผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการง่วงและทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ยานอนหลับจึงมีหลายชนิด มีกลไกการออกฤทธิ์และผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไป
ยากลุ่มแรกที่นิยมใช้เพื่อทำให้เกิดอาการง่วง ได้แก่ ยาลดน้ำมูกในกลุ่มยาแอนตี้ฮิสตามีน เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงคือ ทำให้เกิดอาการง่วง แต่ผลดังกล่าวมักจะไม่มากและความรู้สึกง่วงนอนของแต่ละคนก็แตกต่างกัน
สำหรับยานอนหลับที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อสมอง คือ กลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีน โดยออกฤทธิ์เพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทชนิดยับยั้งที่เรียกว่า "กาบา (GABA) " ในสมอง เมื่อมีสารนี้เพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดอาการนอนหลับโดยตรง นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ช่วยคลายกังวล หยุกอาการชัก และคลายกล้ามเนื้อได้อีกด้วย
ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงมาก เพราะยาส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ยาวนานกว่าการนอนหลับปกติของคนเรา ทำให้ผู้ที่รับประทานยารู้สึกง่วงนอน สะลึมสะลือในตอนเช้า ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้
นอกจากนี้ถ้าใช้ยากลุ่มนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการติดยา และทำให้สมองดื้อยา ลดการตอบสนองต่อยา ทำให้ปริมาณยาที่ใช้ในขนาดเดิมไม่ได้ผล ต้องใช้ขนาดยาสูงขึ้นเพื่อให้ได้ผลการตอบสนองเท่าเดิม เป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงจากยาได้มากยิ่งขึ้น และมีโอกาสที่จะติดยาได้มากขึ้นด้วยและถ้าหยุดยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีนอย่างทันทีทันใด หลังจากการรับประทานต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานานจะมีความเสี่ยงต่อการเกิด "อาการขาดยา" เช่น นอนไม่หลับ มือสั่น ใจสั่น ซึมเศร้า และอาจทำให้เกิดอาการชัก
ภาวะนอนไม่หลับเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย ทั้งในคนปกติและคนที่มีโรคประจำตัว นอกจากนี้อาการนอนไม่หลับอาจบ่งถึงอาการของโรคสมองและระบบประสาทได้ ความเข้าใจกลไกการนอนของมนุษย์จึงมีผลต่อการรักษาภาวะนอนไม่หลับ การวินิจฉัยและหาสาเหตการนอนไม่หลับนั้น แพทย์จำเป็นต้องได้รับข้อมูลประวัติการนอนหลับที่ละเอียดรวมถึงประวัติการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้อง การตรวจการนอนหลับด้วยเครื่อง Polysomnography อาจจำเป็นสำหรับผู้ป่วยบางรายที่ยังหาสาเหตุการนอนหลับไม่ได้ชัดเจน
การรักษาหลักที่ใช้รักษาภาวะนอนไม่หลับคือ การปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการนอน การรักษาด้วยยานอนหลับจะใช้เฉพาะผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับเรื้อรังหรือมีปัญหาโรคประจำตัวอื่นร่วมด้วยเท่านั้น
ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ ที่อีเมล : palida@nationggroup.com
อ่านย้อนหลัง "ดูแลสุขภาพ" ได้ที่ : www.oknation.net/blogloongjame |