โรคกรดไหลย้อน (Gerd) เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร ทำให้เกิดอาการสำคัญ ได้แก่ การแสบร้อนบริเวณหน้าอก และมีน้ำรสเปรี้ยว หรือรสขม ไหลย้อนขึ้นมาทางปาก
ภาวะกรดไหลย้อนนี้ ถ้าเป็นเรื้อรังอาจทำให้เกิดพยาธิสภาพในหลอดอาหาร ได้แก่ หลอดอาหารอักเสบ มีเลือดออกจากหลอดอาหาร และอาจจะทำให้ปลายหลอดอาหารตีบได้
นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุหลอดอาหาร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง กลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ในที่สุด
อาการของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด เช่น
1.อาการทางคอหอยและหลอดอาหาร
-กลืนลำบาก ติดๆ ขัดๆ คล้ายมีก้อนอยู่ในคอ หรือกลืนเจ็บ
-เจ็บคอ มีเสมหะอยู่ในลำคอ โดยเฉพาะในตอนเช้า หรือระคายคอ ตลอดเวลา
-อาการปวดแสบร้อนบริเวณหน้าอกและลิ้นปี่ บางครั้งอาจร้าวไปที่บริเวณคอได้
-เรอบ่อย คลื่นไส้ คล้ายมีอาหารหรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอกหรือคอ
-รู้สึกเหมือนมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอ หรือปาก
2.อาการนอกระบบหลอดอาหาร
-มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้
-เป็นหวัดเรื้อรัง
-เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้า หรือมีเสียงผิดปกติไปจากเดิม
-ไอเรื้อรัง รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในเวลากลางคืน จนอาจทำให้ต้องตื่นกลางดึก
-อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้ามี) แย่ลง หรือไม่ดีขึ้นจากการใช้ยา เจ็บหน้าอก โรคปอดอักเสบ เป็นๆ หายๆ
การรักษา
1.ปรับเปลี่ยนนิสัย และการดำเนินชีวิตประจำวัน (lifestyle modification) และหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค
2.การรักษาโดยการใช้ยา
ควรปรับเปลี่ยนนิสัยและการดำเนินชีวิตประจำวัน ดังนี้
1.นิสัยส่วนตัว
-อย่าให้เครียด และงดการสูบบุหรี่
-หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับ หรือรัดแน่น โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว
-พยายามลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกิน
-ถ้ามีอาการท้องผูก ควรรักษาและหลีกเลี่ยงการเบ่ง
2.นิสัยในการรับประทานอาหาร
-หลีกเลี่ยงการนอนราบ ออกกำลัง การยกของหนัก การเอี้ยวหรือก้มตัว หลังจากรับประทานอาหารทันที หรืออย่างน้อยควรห่างกัน 3 ชั่วโมง
-รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอด อาหารมัน อาหารย่อยยาก พืชผักบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ ฟาสต์ฟู้ด
-หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม peppermints เนย ไข่ นม หรือ อาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
-รับประทานอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารจนอิ่มแน่นท้องมาก
3.นิสัยการนอน
-ไม่ควรนอนหลังการรับประทานอาหารทันที หรืออย่างน้อยควรห่างกัน 3 ชั่วโมง
-เวลานอน ควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 6-10 นิ้วจากพื้นราบ
4.การรับประทานยา
-ควรรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดขนาดยาหรือหยุดยาเองและมาพบแพทย์ตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเพื่อปรับขนาดยา
-อย่าซื้อยารับประทานเองเวลาป่วยเนื่องจากยาบางชนิดจะทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น หรือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวมากขึ้น
-ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการของ GERD สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา- |