|
หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก [ วันที่ 06/03/2555 ] |
|
|
|
|
สธ.เล็ง 3 กองทุนรักษาเอดส์-ไตมาตรฐานเดียว |
|
|
|
|
รมว.สธ.เผยพัฒนา 3 กองทุนรักษามาตรฐานเดียวลดเหลื่อมล้ำ เล็งนำร่องโรคเอดส์-ไตวายเรื้อรัง เร่งหาข้อสรุปชงนายกฯ เร็วๆ นี้
เมื่อวันที่ 4 มีนาคม นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าของการบูรณาการลดความเหลื่อมล้ำระหว่าง 3 กองทุนทั้งกองทุนประกันสังคม กองทุนสวัสดิการราชการและกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อให้เข้าสู่มาตรฐานเดียวกันว่า ตนได้ให้ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. และนพ.วินัย สวัสดิการ เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ไปหาข้อสรุปการบริหารค่าใช้จ่ายในระบบการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินร่วมกันของ 3 กองทุนให้เสมอภาคและเท่าเทียมกัน หลังจากเมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมร่วมหน่วยงานต่างๆ ที่ดูแล 3 กองทุนซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีข้อสรุปในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลในเครือข่าย 3 กองทุน ระบบการจ่ายเงินให้หน่วยบริการให้เป็นไปตามระบบปกติของทั้ง 3 กองทุน
ส่วนกรณีบริการผู้ป่วยฉุกเฉินในโรงพยาบาลที่อยู่นอกระบบของ 3 กองทุน ให้จ่ายรักษาพยาบาลอัตราเดียวกันและให้ สปสช. ทำหน้าที่เป็นหน่วยระบบจ่ายกลางในการจ่ายค่าชดเชยบริการ ให้ใช้อัตราของกรมบัญชีกลาง คือ 10,500 บาทต่อน้ำ หนักสัมพันธ์ตามระบบดีอาร์จี หากระบบต่างๆ มีความพร้อมก็จะเร่งดำเนินการทั้งโรงพยาบาลสังกัดรัฐและเอกชนทุกแห่งทั่วประเทศ โดยจะนำเข้าที่ประชุมร่วมหน่วยงานต่างๆ อีกครั้งในวันที่ 13 มีนาคมนี้
นายวิทยากล่าวต่ออีกว่า หลังจากที่นำระบบบริการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินของ 3 กองทุนเป็นมาตรฐานเดียวกันแล้ว ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรีขั้นต่อไปก็คือ จะบูรณาการบริการร่วมกันอีก 2 โรคได้แก่ โรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย และผู้ติดเชื้อเอชไอวี/โรคเอดส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยโรคเอดส์ที่อายุยังน้อย ซึงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงสิทธิได้ ดังนั้นเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัสต่อเนื่องป้องกันการดื้อยา จึงจำเป็นต้องมีการบูรณาการการให้บริการร่วมทั้ง 3 กองทุน โดย สธ.ได้ตั้งคณะทำงานระหว่าง 3 กองทุน โดยมีเลขาธิการ สปสช. เป็นประธานเพื่อศึกษารายละเอียดและหาข้อสรุปร่วมกัน โดยจะนำเสนอนายกรัฐมนตรีในเร็วๆ นี้
ด้าน นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า สธ.จะผลักดันการแก้ไขปัญหาโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดี ซึ่งเป็นปัญหารุนแรงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราป่วยและอัตราตายสูงที่สุดในโลก พบได้ 30-40 ต่อประชากร 1 แสนคนให้เป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และจะขอให้ประกาศเป็นวาระของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อสนองพระราชดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัคราชกุมารี
ทั้งนี้ จากสถิติในปี 2553 ไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งทั้งหมด 58,076 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับ และท่อน้ำดีในตับมากที่สุด 14,008 ราย เป็นชายมากกว่าหญิง 2 เท่าตัว และร้อยละ 54 อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 7,513 ราย และในปีเดียวกันมีผู้ป่วยโรคมะเร็ง 2 ชนิดเข้ารักษาที่โรงพยาบาลทั่วประเทศจำนวน 40,373 ราย โดยผู้ป่วยร้อยละ 44 อยู่ในภาคอีสาน จำนวน 17,777 ราย |
| | |
|
|