รศ.นท.ดร.สมพล เพิ่มพงศ์โกศล
คลินิกสุขภาพชายโรงพยาบาลรามาธิบดี
ผู้ป่วยซึ่งมีเลือดปนน้ำอสุจิ มักจะมาพร้อมด้วยอาการและอาการแสดงอื่นๆ เช่นมีอาการไข้ มีอาการปวดบริเวณอวัยวะเพศหรือปวดเวลาปัสสาวะ มีเลือดในปัสสาวะ มีอาการปวดเวลาหลั่งน้ำอสุจิ มีอาการปวดหลัง ไข้ ปวดลูกอัณฑะ ลูกอัณฑะบวม มีอาการบวมหรือเจ็บบริเวณขาหนีบ
การตรวจวินิจฉัยจำนวนหนึ่งจะถูกประเมินหลังจากทราบประวัติทางคลินิกและการตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการมากที่สุดคือ การตรวจปัสสาวะและการเพาะเชื้อปัสสาวะ เพื่อระบุหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือการติดเชื้ออื่น ๆ เมื่อมีข้อบ่งชี้ การถ่ายภาพเอกซเรย์ เช่น อัลตร้าซาวด์ (คลื่นเสียงความถี่สูง) หรือการตรวจเอ็ม อาร์ ไอ (MRI;การตรวจด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูงอาจแสดงให้เห็นเนื้องอกหรือความผิดปกติอื่น ๆ ในบางกรณีมีการแนะนำการตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ
การรักษาการมีเลือดปนในน้ำอสุจิขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ตรวจพบ บางครั้งพบว่ามีการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะสำหรับการวินิจฉัยว่าน่าจะเป็นโรคต่อมลูกหมากอักเสบ เนื่องจากพบว่ามีการศึกษาแสดงให้เห็นว่ามีถึงประมาณหนึ่งในสี่ของผู้ป่วยมีเลือดปนในน้ำอสุจิเนื่องจากต่อมลูกหมากอักเสบ
อย่างไรก็ตามประโยชน์ของการรักษาดังกล่าวยังไม่ได้มีการรายงานให้เห็นอย่างชัดเจน ตลอดจนอาจทำให้มีโอกาสเกิดปฏิกิริยาแพ้ยาปฏิชีวนะมากขึ้น
ในหลาย ๆ กรณี หากเลือดในน้ำอสุจิไม่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของอาการอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาและภาวะดังกล่าวมักหายเองภายในเวลาของสถานการณ์เหล่านั้น
ถ้ามีอาการเลือดปนในน้ำอสุจิมากกว่าหนึ่งเดือน แม้ว่าจะไม่มีอาการอื่น ๆ ควรได้รับตรวจวินิจฉัยหรือการประเมินติดตามเป็นระยะ
การพยากรณ์โรคจะสัมพันธ์กับสาเหตุพื้นฐานของโรคที่มีเลือดปนน้ำอสุจิ ถ้าสามารถระบุสาเหตุได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มีเลือดปนในน้ำอสุจิเป็นโรคไม่ร้ายแรงและหายได้เองโดยไม่ต้องการรักษา ในขณะที่พบได้ยากว่ามะเร็งเป็นสาเหตุของเลือดปนในน้ำอสุจิ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ชายอายุน้อยกว่า
ควรมาพบแพทย์ ถ้าผู้ป่วยอายุมากกว่า 40 ปี และมีเลือดปนกับน้ำอสุจิ ถึงแม้จะไม่มีอาการอื่น ๆ แต่ถ้าอายุน้อยกว่า 40 ปีและมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่นปวดอวัยวะเพศหรือปัสสาวะแล้วปวด ปวดระหว่างการหลั่งน้ำอสุจิ มีไข้ ปัสสาวะลำบากหรือมีเลือดในปัสสาวะ หรือมีปัจจัยเสี่ยงเช่นประวัติมะเร็ง โรคเลือดออกผิดปกติ การบาดเจ็บ
มีคำถามเสมอว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวหรือไม่???
คำตอบคือผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่สามารถป้องกันได้เพราะไม่ทราบสาเหตุ การตีบของท่อปัสสาวะและการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ อาจป้องกันด้วยการมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัยไว้ก่อน เพราะการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์เป็นสาเหตุของการตีบของท่อปัสสาวะด้วย.
|