Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ [ วันที่ 05/05/2563 ]
ตรวจ6กลุ่มเสี่ยง 4แสนคน

  กันระบาดรอบ2 ปลดจีน-เกาหลี พ้นเขตโรคร้าย
          “ทรัมป์” ออกแถลงการณ์ระบุไวรัสโควิด-19 โจมตีสหรัฐอเมริการ้ายแรงกว่าเหตุการณ์ญี่ปุ่นโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และหนักหน่วงกว่าเหตุการณ์ 9-11 ที่ต้องสูญเสียผู้คนอย่างมหาศาล อัดจีนไม่ควรปล่อย “โควิด-19” อาละวาดไปทั่วโลก ส่วนผู้ติดเชื้อทั่วโลกใกล้แตะ 4 ล้านคน นักวิจัยชาวจีนในสหรัฐฯที่เตรียมเปิดความจริงเรื่องโควิด-19 ถูกยิงดับปริศนาคาบ้านพักด้วยฝีมือมือปืนคนชาติเดียวกัน ลือแซ่ดสงสัยถูกปิดปาก ด้านไทยพบผู้ติดเชื้อใหม่ 3 รายแต่ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม แรงงานตกค้างต่างแดนแอบลุยแม่น้ำข้ามเข้าไทยเพียบ
          เด้งกลับมาพบผู้ป่วยใหม่ถึง 3 รายแล้ว หลังจากที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือ 1 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตไม่พบเพิ่ม
          ไทยพบผู้ป่วยใหม่ 3 ราย
          ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 11.40 น. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงว่า มีผู้ป่วยรายใหม่ 3 ราย ในจำนวนนี้ 1 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 59 ปี อาชีพแม่บ้าน มาจากการค้นหาเชิงรุกใน จ.ยะลา สัมผัส ผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ที่กลับมาจากมาเลเซีย ส่วนอีก 2 ราย เป็นชายไทย อายุ 46 ปี กับชายไทยอายุ 51 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางกลับมาจากคาซัคสถานเมื่อวันที่ 2 พ.ค. และอยู่ในสถานกักตัวของรัฐ มีผู้โดยสารในเครื่องบินลำเดียวกัน 55 คน ขณะนี้อยู่ในการดูแลทั้งหมด ทำให้มียอดผู้ป่วยสะสม 2,992 ราย หายป่วยสะสม 2,772 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม
          เตรียมรับ นร.ตกค้างกลับไทย
          นพ.ทวีศิลป์กล่าวด้วยว่า สำหรับสถานการณ์โลก มีผู้ป่วยสะสม 3,822,860 ราย เสียชีวิต 265,076 ราย ส่วนนักเรียนที่ตกค้างอยู่ในอเมริกาใต้ แบ่งเป็นอาร์เจนตินา 52 ราย และอุรุกวัย 12 ราย จะนำเครื่องบินเช่าเหมาลำไปรับจากสองประเทศมายังประเทศบราซิล ในวันที่ 20 พ.ค. ก่อนนั่งเครื่องบินพาณิชย์มายังประเทศเนเธอร์แลนด์เพื่อเดินทางกลับไทย เหตุผลที่ต้องดำเนินการเช่นนี้เพราะบางประเทศปิดน่านฟ้า จึงมีกระบวนการหลายอย่าง
          ตั้งเป้าตรวจให้ได้ 4 แสนคน
          นพ.ทวีศิลป์กล่าวว่า อธิบดีกรมควบคุมโรค เสนอเป้าหมายการค้นหาผู้ติดเชื้อในประชากรกลุ่มเสี่ยง โดยตั้งเป้าหมายตรวจให้ได้ 6,000 รายต่อ 1 ล้านประชากร หรือประมาณ 400,000 ราย ขณะนี้ตรวจไปแล้วประมาณ 230,000 ราย เหลืออีก 170,000 ราย โดยจะตรวจในกลุ่มที่มีการขยายเกณฑ์ เช่น มีอาการไข้ มีอาการคล้ายหวัด จมูกไม่ได้กลิ่น 85,000 ราย และอีก 85,000 ราย จะไปหาในประชากรกลุ่มเสี่ยง อาทิ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ต้องขังแรกรับ แรงงานผิดกฎหมายที่อยู่ในสถานที่กัก คนขับรถสาธารณะ กระจายในทั่วประเทศ ทฤษฎีนี้ได้ผลกว่าการตรวจแบบหว่านแห นอกจากนี้ ในที่ประชุม รมว.ต่างประเทศได้รายงานหลักเกณฑ์การนำคนไทยกลับจากต่างประเทศ กลุ่มแรกคือ กลุ่มด่วนที่สุด จะเป็นกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ คนป่วย คนที่ตกค้างจากสนามบินต่างๆ วีซ่าหมดอายุ นักท่องเที่ยวตกค้าง กลุ่มนี้จะได้กลับมาก่อน กลุ่มที่สอง กลุ่มด่วนมาก คือ พระสงฆ์ที่ไปธุดงค์ นักเรียน นักศึกษา และคนที่ตกงาน
          เอ็มโอยูวิจัยยาต้องไม่เสียเปรียบ
          ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการศึกษาและพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่พัฒนาโดยคนไทย ว่า ให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติไปหารือมหาวิทยาลัยต่างๆ และได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศจีนในการศึกษาและวิจัยร่วมกัน ได้เชิญ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ มาพูดคุยสอบถามถึงเรื่องนี้แล้ว เน้นย้ำว่าการทำเอ็มโอยูดังกล่าวเราต้องไม่เสียเปรียบ ขอให้ศึกษาข้อกฎหมายให้ดี ทั้ง 2 ฝ่ายต้องเข้าถึงพร้อมกันและได้รับความยุติธรรมเท่ากัน
          จ่อถอด 2 ปท.พ้นเขตติดโรคร้ายแรง
          นายอนุทินยังกล่าวว่า ไทยจะมีการถอดจีนและเกาหลีใต้ออกจากประเทศที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายกรณีโรคโควิด-19 ขณะที่ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การจะเสนอให้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ถอดทั้ง 2 ประเทศ ออกจากประเทศที่เป็นเขตติดโรคติดต่ออันตรายกรณีโรคโควิด-19 นั้นเนื่องจากมีการพบผู้ป่วยโควิดจากทั้ง 2 ประเทศดีขึ้น แต่การถอดก็ไม่ได้หมายความว่า ทั้ง 2 ประเทศจะเดินทางเข้ามาไทยได้เลยยังคงต้องดำเนินการตามมาตรฐานการเดินทางมาจากต่างประเทศอย่างเข้มข้นเหมือนเดิม
          ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกได้ผลดี
          นพ.สุวรรณชัยยังกล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า ที่ผ่านมากรมควบคุมโรคได้ค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกมาโดยตลอด ทำให้การค้นหาผู้ป่วยที่มีอาการน้อยและการแยกกักกันเพื่อตัดวงจรการแพร่ระบาด ทำให้พบจำนวนผู้ป่วยในกรุงเทพฯลดลงตามลำดับ ทั้งนี้ จากการค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชนที่ไม่มีอาการหรือการค้นหาเชิงรุก เช่น ในพื้นที่กรุงเทพฯที่ตรวจประมาณ 3,000 ราย พบ 1 ราย ตรวจที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้โดยรวมพบในอัตราต่ำกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นในบางพื้นที่เท่านั้น จึงทำให้การควบคุมโรคในประเทศและจากต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
          ลุยตรวจเชื้อกันระบาดรอบ 2
          อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวต่อว่า ไทยเริ่มผ่อนปรนมาตรการตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.ก็มีความกังวล จากประชาชนและนักวิชาการ ว่า จะมีการระบาดระลอก 2 หรือไม่ จึงทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ที่ร่วมประชุมกับ ศบค. สั่งให้มีการตรวจเชิงรุกเพื่อเฝ้าระวังในกลุ่มประชาชนที่เสี่ยงและสถานที่เสี่ยง การค้นหาเชิงรุกครั้งนี้ เป็นการทำกับประชากรกลุ่มเสี่ยงและสถานที่เสี่ยงทั่วประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่มีอาการใดๆ เพื่อเฝ้าระวังและสร้างความมั่นใจในการควบคุมป้องกันโรค เป็นการดำเนินงานทั้งก่อนและระหว่างผ่อนปรนมาตรการซึ่งมีการดำเนินการเป็นระยะๆ เพื่อให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและ กทม.มีแนวทางการดำเนินงานภายในพื้นที่แต่ละจังหวัด โดยใช้การตรวจน้ำลาย รอบละประมาณ 5-8 ราย หากพบว่ารอบใดติดเชื้อ จึงจะนำมาตรวจเป็นรายบุคคลอีกครั้งถือเป็นวิธีที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ
          6 กลุ่มเสี่ยงเป้าหมายการตรวจ
          นพ.สุวรรณชัยยังกล่าวอีกว่า สำหรับประชากร 6 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1.กลุ่มที่มักจะรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก 2.บุคลากรทางการแพทย์ 3.ผู้ต้องขังแรกรับ 3.ผู้ต้องกักเช่นที่ด่านสะเดา 4.กลุ่มคนขับแท็กซี่ คนขับรถสาธารณะ 5.กลุ่มแรงงานต่างด้าวและคนไทยที่อยู่รวมกันอย่างแออัด ทั้งที่ทำงานและพักอาศัย 6.เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ราชทัณฑ์ ประชาชนค้าขายในตลาดห้าง ส่วนสถานที่ที่คนมาอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น สถานีขนส่งทางบก ทางน้ำทางอากาศ สิ่งที่เรากังวลคือการข้ามด่านทางพรมแดนที่สุด สถานีรถไฟฟ้า ศาสนสถาน เป็นต้น
          ยะลาพบติดเชื้อเพิ่ม 1 ราย
          ในส่วนต่างจังหวัด วันเดียวกันนี้ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดยะลา รายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มอีก 1 ราย เป็นหญิงอายุ 59 ปี อยู่บ้านตาเนาะปูเต๊ะใน หมู่ 9 ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา ที่พบผู้ป่วยมากที่สุดรวม 16 ราย และเจ้าหน้าที่กำลังเร่งตรวจคัดกรองเชิงรุก ติดเชื้อมาจากการสัมผัสกลุ่มผู้ป่วยภายในชุมชน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 127 ราย รักษาหายสะสม 103 ราย ผู้ป่วยปัจจุบันรักษาอยู่ใน รพ. 22 ราย แยกเป็น รพ.บันนังสตา 19 ราย รพ.ศูนย์ยะลา 1 ราย รพ.สมเด็จพระยุพราชยะหา 1 ราย มอ.หาดใหญ่ 1 ราย เสียชีวิต 2 ราย
          ส่งกลับผู้ที่ตรวจไม่พบเชื้อ
          ที่ รพ.สมเด็จพระยุพราชยะหา จ.ยะลา นพ.ทินกร บินหะยีอารง ผอ.รพ. พร้อมทีมแพทย์พยาบาล ร่วมกันส่งผู้ต้องสงสัยติดเชื้อ 24 รายจาก 40 ราย เดินทางกลับบ้านในพื้นที่ ต.บาโงย-ซิแน อ.ยะหา หลังผลตรวจเชื้อครั้งที่ 3 ยืนยันไม่พบเชื้อ โดยมีการแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตน เมื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน พร้อมทั้งมอบคู่มือ มอบสิ่งของเครื่องอุปโภค-บริโภค ให้กับทุกคนเพื่อเป็นกำลังใจ ขณะที่ผู้ต้องสงสัยติดเชื้อส่วนที่เหลือแยกเฝ้าดูอาการที่ รพ.ยะลา จำนวน 4 ราย รพ.บันนังสตา จำนวน 7 ราย รพ.รามัน 5 ราย แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้วเช่นกัน
          แรงงานต่างด้าวศูนย์กักฯ ติดเชื้อ
          ที่ศูนย์กักตัวผู้ต้องกัก ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลา อ.สะเดา จ.สงขลา มีแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองถูกควบคุมตัวระหว่างดำเนินคดีรวม 115 คน พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลอตแรก 18 คน เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งเพื่อตรวจหาเชื้อจนพบเพิ่มอีก 42 คน รวม 60 คน ปรากฏว่าผลตรวจลอตสุดท้ายเมื่อวันที่ 6 พ.ค. จำนวน 43 ราย พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 3 ราย เป็นชาวโรฮีนจา 2 ราย พม่า 1 ราย ทั้ง 3 คนยังไม่มีอาการป่วย เจ้าหน้าที่แยกส่งเข้าโรงพยาบาลสนามภายในศูนย์กักตัวฯ เพื่อรักษาแล้ว
          ผวาโรฮีนจาลอบเข้าไทยมีไข้สูง
          ที่ จ.ตาก ร.อ.ศาศวัต สัตยพงษ์ ผู้บังคับกองร้อยเครื่องยิงหนัก หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 4 นำกำลังร่วมกับฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ ตม.ตาก และ อสม.แม่สอด ตรวจค้นบริเวณอาคารศูนย์จริยธรรมชุมชนอิสลามแม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก หลังรับแจ้งมีชาวโรฮีนจาหลบหนีเข้าเมืองมาซ่อนตัวอยู่ พบชายชาวโรฮีนจาอายุ 15-18 ปี จำนวน 9 คนอยู่ในอาการอิดโรย 1 คนมีไข้สูง 40 องศาเซลเซียส ส่งตรวจที่ รพ.แม่สอด และมีหญิงอีก 3 คน แยกหลบหนีไปก่อนแล้ว สอบสวนทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาจากรัฐยะไข่ หลบหนีไปอยู่นครย่างกุ้ง และจังหวัดเมียวดี ก่อนจะเดินข้ามแม่น้ำเมยลอบเข้าประเทศไทยเมื่อคืนวันที่ 6 พ.ค. โดยมีคนนำมาซ่อนตัวรอเดินทางต่อไปยังประเทศมาเลเซีย นายชัยพฤกติ์ เชียรธานรักษ์ นายอำเภอแม่สอด สั่งให้นำตัวชาวโรฮีนจาทั้งหมดไปควบคุมและแจ้งข้อหาหลบหนีเข้าเมือง ก่อนนำตัวไปกักกันเฝ้าระวังโรคโควิด-19 รวมทั้งออกติดตามอีก 3 คนที่หลบหนีไปก่อนหน้า
          มาจากภูเก็ตกักตัว “ค่ายฮีโร่”
          ที่ศูนย์กักกันกลุ่มเสี่ยง “ค่ายฮีโร่” หอพักสตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ใช้เป็นสถานที่กักตัวสังเกตอาการชาวอุดรธานี ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและพื้นที่เสี่ยงติดเชื้อ นายปราโมทย์ ธัญญพืช รอง ผวจ.อุดรธานี ควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทีมแพทย์พยาบาล รพ.ศูนย์อุดรธานี เจ้าหน้าที่ อสม. และตำรวจ ในการตรวจคัดกรองผู้เดินทางมาจาก จ.ภูเก็ต ทั้งด้วยรถบัสเหมาคัน และรถส่วนตัว จำนวนทั้งสิ้น 20 คน ก่อนส่งเข้าไปกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน โดยค่ายฮีโร่ได้รับชาวอุดรธานีที่เดินทางกลับภูมิลำเนาตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. มีคนกักตัวอยู่ในค่ายรวม 277 คน ยังไม่พบผู้ติดเชื้อแต่อย่างใด
          ตกค้างต่างแดนทยอยกลับ
          ส่วนที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตั้งแต่เช้าถึงค่ำวันเดียวกันนี้ กลุ่มคนไทยในต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ยังทยอยเดินทางกลับประเทศไทย ทั้งนี้ ช่วงเช้าเวลา 08.45 น. เป็นคนไทยจากแอฟริกาใต้ จำนวน 135 คน เดินทางจากกรุงโยฮันเนสเบิร์กมาไทย โดยสายการบินเซาท์-แอฟริกาใต้แอร์เวย์ หลังผ่านการคัดกรองและด่านตรวจคนเข้าเมือง พบผู้โดยสารมีไข้ 2 คน นำส่งโรงพยาบาลตรวจหาเชื้ออย่างละเอียด ที่เหลือนำไปกักตัวตามมาตรการที่โรงแรม Le bali พัทยา จากนั้นเวลา 21.45 น. เป็นคนไทยจากเกาหลีใต้ 144 คน ถูกนำไปกักตัวที่โรงแรมบาซาร์ รัชดาภิเษก โรงแรมเมอเวนพิค ถ.วิทยุ โรงแรมคิวว์ สุขุมวิท 79
          แรงงานตกค้างลุยน้ำเข้าประเทศอื้อ
          ที่ริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก หลังชุมชนท่าบือเร็ง ต.สุไหงโก-ลก อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่เป็นช่องทางธรรมชาติลอบผ่านพรมแดนไทย-มาเลเซีย ยังมีแรงงานไทยตกค้างอยู่ในมาเลเซีย หอบลูกจูงหลานพร้อมสัมภาระลักลอบลุยแม่น้ำสุไหงโก-ลกที่ตื้นเขิน ข้ามเข้าไทยอย่างต่อเนื่อง ทหารพราน กรม ทพ.48 เข้าควบคุมตัวไว้ได้ 71 คน ส่งคัดกรองและกักตัวตามแผน ขณะที่คนไทยที่ตกค้างอยู่ในรัฐต่างๆของมาเลเซีย ที่ขออนุญาตผ่านสถานทูตและสถานกงสุล เดินทางผ่านด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก มาทั้งสิ้น 57 คน หากนับตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. ที่มีการผ่อนปรนให้คนไทยตกค้างในมาเลเซียเดินทางกลับได้ มีคนไทยเดินทางกลับอย่างถูกต้อง 3,463 คน ลักลอบกลับตามช่องทางธรรมชาติ 2,218 คน พ.อ.เอกพล เลขนอก ผบ.ฉก.ทพ.48 สั่งกำชับให้เพิ่มความเข้มงวด ไม่ให้มีคนลักลอบเข้าประเทศทางช่องทางธรรมชาติ เกรงจะทำให้เกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
          จีนลดระดับเตือนภัยไวรัส
          สำหรับความคืบหน้าสถานการณ์ไวรัสในต่างแดน รัฐบาลจีนได้ประกาศลดระดับเตือนภัยความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศจากระดับสูงเป็นระดับต่ำแล้ว หลังจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่หลักหน่วยอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนเมื่อวันที่ 7 พ.ค. พบผู้ติดเชื้อวันเดียวเพียง 2 คน ทั้งคู่ มาจากต่างประเทศ ขณะที่ยอดผู้ถูกกักบริเวณดูอาการ อยู่ที่ 884 คน อยู่ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 295 คน พร้อมมีคำสั่งปิดโรงพยาบาลสนามในมณฑล เฮย์หลงเจียง ติดพรมแดนรัสเซีย ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในพื้นที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อจำนวนมาก โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลสามารถบังคับใช้มาตรการรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างได้ผล ทั้งมีคำสั่งปิดด่านพรมแดนไปแล้วก่อนหน้านี้
          รัสเซียติดเชื้ออันดับ 5 ของโลก
          ส่วนรัสเซียกลายเป็นประเทศพบผู้ติดเชื้อมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก หลังกระทรวงสาธารณสุขรัสเซียรายงานยืนยัน การตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,231 คน ถือว่าติดเชื้อวันเดียวเกิน 10,000 คน เป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน ส่งผลให้ยอดติดเชื้อรวมเพิ่มเป็นมากกว่า 177,200 คน เสียชีวิต 1,625 คน แซงหน้าฝรั่งเศสที่มีผู้ติดเชื้อ 174,100 คน เสียชีวิตกว่า 25,800 คน ทั้งรัสเซียยังมีเจ้าหน้าที่ระดับบริหารรัฐบาลติดเชื้อแล้ว 3 คน ได้แก่ นายมิคาอิล มิชุสติน นายกรัฐมนตรีรัสเซีย นายวลาดิเมียร์ ยาคูเชฟ รมว.ก่อสร้างรัสเซีย และนางโอลกา ลูบิโมวา รมว.วัฒนธรรมรัสเซีย
          ทรัมป์โวยถูกโจมตีหนักกว่า 9/11
          ขณะที่บรรยากาศในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมียอดผู้ติดเชื้อมากกว่า 1.26 ล้านคน เสียชีวิตกว่า 75,000 คน มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ว่า สถานการณ์ไวรัสครั้งนี้ ถือเป็นการโจมตีต่อสหรัฐฯที่ร้ายแรงกว่าเหตุการณ์ญี่ปุ่นถล่มฐานทัพเพิร์ลฮาร์เบอร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเหตุโจมตีตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ 11 ก.ย. หรือ 9/11 พร้อมระบุว่า ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น ไวรัสควรถูกยับยั้งตั้งแต่จุดต้นตอ ควรถูกยับยั้งตั้งแต่เริ่มแพร่ระบาดในจีน เมื่อถูกถามกรณีนายทรัมป์เคยพูดถึงเรื่องการทำสงคราม นายทรัมป์ตอบว่าทำสงครามกับไวรัสที่มองไม่เห็น ส่วนก่อนหน้านี้ นายไมค์ ปอมเปโอ รมว. ต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวหาว่าไวรัสโควิด-19 หลุดมาจากห้องแล็บในจีน ซึ่งรัฐบาลจีนโต้ว่าไม่มีหลักฐาน
          ยิงดับนักวิจัยจีน-ลือถูกปิดปาก
          วันเดียวกัน เกิดกระแสโจมตีรัฐบาลจีน ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ทวิตเตอร์ หลังเกิดเหตุ นายปิง หลิว นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนวัย 37 ปี ประจำมหาวิทยาลัยการแพทย์พิตต์สเบิร์ก ถูกยิงเสียชีวิตในบ้านพักเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 2 พ.ค. โดยมีผู้ตั้งข้อสงสัยจากรายงานข่าวว่า นายหลิวอยู่ระหว่างวิจัยค้นหาความจริงเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 และใกล้พบความจริงแล้ว พร้อมโยงไปว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะถูกจีนปิดปาก ในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯและจีนกล่าวหาตอบโต้กันไปมาเรื่องต้นกำเนิดของไวรัสว่ามาจากจีนหรือสหรัฐฯ ซึ่งต่อมา ก็เกิดกระแสโจมตีรัฐบาลสหรัฐฯในเครือข่ายสังคมออนไลน์เหว่ยป๋อของจีนเช่นกัน ว่านายหลิวอาจถูกรัฐบาลสหรัฐฯปิดปาก
          ตร.มะกันสอบพบปมแย่งคนรัก
          กระนั้น สถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นดับเบิลยูทีเออี ในสหรัฐฯ รายงานอ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นว่า จากการตรวจสอบพบว่านายหลิว ถูกยิงที่ศีรษะและลำตัวหลายนัด เสียชีวิตคาที่ โดย ตำรวจระบุว่า มือปืนที่สังหารนายปิง หลิว ชื่อนาย เหา กู วิศวกรคอมพิวเตอร์วัย 46 ปี ชาวจีน หลังจากยิงนายหลิวแล้ว ได้เดินออกจากที่เกิดเหตุกลับไปที่รถยนต์ส่วนตัวคันที่ขับมาก่อเหตุแล้วยิงตัวตายตาม จากการสันนิษฐานของตำรวจในเบื้องต้นเชื่อว่าคดีสังหารนายปิงครั้งนี้เกิดจากปมแย่งคนรักกัน โดยทั้งสองมีปัญหาส่วนตัวกันเป็นเวลานานแล้วและยังระบุว่าไม่พบความเกี่ยวโยงใดๆกับงานวิจัยไวรัสของนายหลิว หรือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้
          UN ประเมินการท่องเที่ยวอ่วม
          ด้านองค์การการท่องเที่ยวโลกของสหประ-ชาชาติ ประเมินสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสในปีนี้ จะส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศต่างๆลดลงถึง 60-80 เปอร์เซ็นต์ โดยเป็นการปรับยอดใหม่หลังจากก่อนหน้านี้ประเมินไว้เพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ หน่วยงานด้านมนุษย-ธรรมของสหประชาชาติยังเรียกร้องนานาชาติระดม เงินช่วยเหลือประเทศยากจนในแอฟริกา รวมถึงปากีสถานและฟิลิปปินส์ รับมือกับสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เพิ่มจาก 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 6,700 ล้านดอลลาร์ พร้อมเผยว่านับตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค. ระดมทุนได้แล้วกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์
          ญี่ปุ่นรับรองยาต้านไวรัส
          ต่อมาสื่อท้องถิ่นญี่ปุ่นรายงานอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวในรัฐบาลญี่ปุ่น ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมที่จะอนุมัติการใช้ยาต้านไวรัสอีโบลา “เรมดิสซิเวียร์” กับผู้ป่วยโควิด-19 ตามหลังสหรัฐฯที่อนุมัติไปก่อนหน้านี้ เช่นเดียวกับเตรียมอนุมัติการใช้ยาต้านไวรัส “อวิแกน” ที่ผลิตโดยบริษัทเวชภัณฑ์ฟูจิฟีล์ม โทโยมะ เคมีคัล ในญี่ปุ่น ภายในเดือน พ.ค.นี้ เช่นกัน แต่อยู่ระหว่างรอผลยืนยันการทดสอบกับผู้ป่วยอาสาสมัคร 100 คน โดยทั้งนี้ ยอดผู้ติดเชื้อรวมในญี่ปุ่นอยู่ที่ 15,253 คน เสียชีวิต 556 คน รักษาหาย 4,496 คน
          ติดเชื้อทั่วโลกยังพุ่งไม่หยุด
          ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานสรุปยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกประจำวันที่ 7 พ.ค. อยู่ที่ 3.83 ล้านคน เสียชีวิตมากกว่า 265,000 คน รักษาหาย 1.3 ล้านคน โดยสหรัฐฯยังมีผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง เพิ่มเป็น 1.26 ล้านคน เสียชีวิตมากกว่า 75,000 คน ตามด้วยสเปนติดเชื้อ 253,700 คน เสียชีวิตมากกว่า 26,000 คน อิตาลีติดเชื้อ 214,400 คน เสียชีวิตมากกว่า 29,600 คน อังกฤษติดเชื้อ 201,100 คน เสียชีวิตมากกว่า 30,000 คน ส่วนในเอเชีย อินเดียพบการติดเชื้อมากเป็นอันดับต้น 53,000 คน เสียชีวิต 1,787 คน ตามด้วยสิงคโปร์ติดเชื้อเกือบ 21,000 คน เป็นการพบติดเชื้อวันเดียว 741 คน เสียชีวิต 20 คน
          อินโดฯติดเชื้อรวมกว่าหมื่นคน
          นอกจากนี้ ที่อินโดนีเซียยังพบการติดเชื้อวันเดียว 338 คน ส่งผลให้ยอดติดเชื้อรวมกลายเป็น 12,776 คน เสียชีวิต 930 คน ที่บังกลาเทศพบติดเชื้อวันเดียว 706 คน ปรับยอดติดเชื้อรวมอยู่ที่ 12,425 คน เสียชีวิต 186 คน ขณะที่ฟิลิปปินส์พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 339 คน ส่งผลให้ยอดติดเชื้อรวมเพิ่มเป็น 10,343 คน เสียชีวิต 685 คน

 pageview  1210930    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved