Follow us      
  
  

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ [ วันที่ 25/08/2563 ]
อังกฤษสวนWHO โควิดจะอยู่ตลอด ต้องใช้วัคซีนคุม อินเดีย ยอดพุ่งติดใหม่-7หมื่น

  ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะ “โควิด-19” พุ่งพรวดไปเร็วเกินยั้งทะลุกว่า 23.4 ล้านคน ส่วนยอดตายขยับขึ้นอีกหน่อย โดย “สหรัฐฯ-อินเดีย-บราซิล” ยังรั้ง 3 อันดับติดเชื้อมากสุดในโลกเหมือนเดิม ขณะที่องค์การอนามัยโลกแนะมาตรการควบคุมโรครอบใหม่ เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปควรสวมหน้ากากอนามัยเหมือนผู้ใหญ่หากเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1 เมตรไม่ได้ ด้านนักวิทย์อังกฤษเชื่อโควิด-19 จะอยู่กับมนุษย์ไปตลอดกาล ทางเดียวที่จะควบคุมการระบาดได้คือต้องฉีดวัคซีนทั่วทั้งโลก ขณะที่ไทยพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย กลับจาก 3 ประเทศ แต่ 1 ในนั้นหมอยัง ไม่ชัวร์ อาจเจอแค่ซากเชื้อ หลังแจ้งเคยป่วยมาก่อน
          ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทำให้เกิดโรคปอดอักเสบรุนแรงหรือโควิด-19 ทั่วโลกยังเพิ่มอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงสัปดาห์เดียวจาก 22 ล้านคน พุ่งทะลุเกิน 23 ล้านคนไปเรียบร้อย ขณะที่สถานการณ์การเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 ส.ค. นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 5 ราย เป็นผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และเข้ารับการเฝ้าระวังกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ ผู้ป่วยกลับบ้าน 1 ราย ทำให้มีผู้ป่วยกลับบ้านสะสม 3,221 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 94.87 ของผู้ป่วยทั้งหมด มีผู้ป่วยที่ยังรักษาอยู่ในโรงพยาบาล 116 ราย หรือร้อยละ 3.42 ของผู้ป่วยทั้งหมด ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย ผู้ป่วยสะสมทั้งสิ้น 3,395 ราย
          นพ.โสภณกล่าวอีกว่า สำหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้เดินทางมาจากอินเดีย 1 ราย เป็นเพศหญิง สัญชาติไทย อายุ 41 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 8 ส.ค.2563 เข้ากักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ใน กทม. พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 3 วันที่ 21 ส.ค.2563 ให้ประวัติว่าเคยมีอาการโดยก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อจากเที่ยวบินเดียวกัน 19 ราย อังกฤษ 1 ราย เป็นเพศหญิง สัญชาติไทย อายุ 45 ปี อาชีพรับจ้าง เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 10 ส.ค.2563 เข้ากักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ในจังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจครั้งที่ 2 วันที่ 21 ส.ค.2563 ไม่มีอาการ และมาจากโอมาน 3 ราย สัญชาติไทย เป็นเพศหญิง 2 ราย อายุ 26 ปี ว่างงาน อายุ 29 ปี อาชีพพนักงานโรงแรม และเป็นเพศชาย 1 ราย อายุ 53 ปี อาชีพรับจ้าง ทั้ง 3 ราย เดินทางถึงประเทศไทยวันที่ 17 ส.ค.2563 เข้ากักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ในจังหวัดชลบุรี พบเชื้อจากการตรวจในครั้งแรก วันที่ 21 ส.ค.2563 ไม่มีอาการ
          นพ.โสภณกล่าวด้วยว่า มาตรการการดูแลสำหรับคนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ยังคงเข้มงวดทุกขั้นตอน ทุกคนจะต้องถูกกักตัวเพื่อเฝ้าระวังสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน และตรวจหาเชื้อ 2 ครั้ง เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีการนำเชื้อเข้าสู่ประเทศ และหากพบว่าป่วยหรือติดเชื้อจะนำเข้าสู่ระบบการรักษาทันที อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อกังวลของประชาชนว่าจะเกิดระบาดระลอก 2 นั้น สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การไม่เกิดการระบาดได้ คือ รักษาวินัยในการป้องกันตนเองทำให้เป็นนิสัย โดยการสวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้านและตลอดเวลาขณะอยู่ในพื้นที่สาธารณะ ล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ กินร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว เว้นระยะห่าง ลดการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด เมื่อไปใช้บริการในสถานที่ต่างๆ ต้องลงทะเบียนเข้าออก หรือลงทะเบียนผ่านแพลตฟอร์มไทยชนะ รวมถึงผู้ประกอบการ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ยังต้องคงให้ความร่วมมือรักษามาตรการที่รัฐได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
          ผอ.กองโรคติดต่อทั่วไป กล่าวอีกว่า แต่หากเกิดการระบาดขึ้น ระบบสาธารณสุขของไทยมีความพร้อมที่สามารถรองรับการดูแลรักษาประชาชนได้ และขอความร่วมมือประชาชน ไม่ส่งต่อ ไม่แชร์ ไม่เชื่อข่าวปลอมที่ไม่ทราบแหล่งที่มา สามารถติดตามข่าวสารที่ถูกต้องเชื่อถือได้จากศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) และกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
          ด้าน พญ.วลัยรัตน์ ไชยฟู ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีมีผู้ป่วยรายใหม่ 1 ใน 5 ราย มีการให้ประวัติเคยมีอาการว่า หญิงรายดังกล่าวได้ให้ข้อมูลว่าเคยป่วยโรคโควิด-19 มาก่อน ดังนั้นคาดว่าผลการตรวจพบโรคโควิด-19 ของรายนี้ เชื้อที่ตรวจพบอาจเป็นซากเชื้อ แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อความชัดเจนและได้รับข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ทางทีมสอบสวนโรคจะมีการ สอบสวนโรคเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนอีกครั้ง
          ส่วนที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ ตลอดวันที่ 23 ส.ค. คนไทยและคนต่างชาติ มีทั้งนักการทูตผู้ใช้เอกสิทธิ์ทางการทูต นักธุรกิจ ชาว ต่างชาติที่มีถิ่นพำนักในประเทศไทย ผู้มาเรียนหนังสือ และผู้เดินทางมารักษาตัว เดินทางเข้าประเทศไทย จำนวน 4 เที่ยวบิน เริ่มจากเวลา 01.10 น. นักการทูต และผู้ถือเอกสิทธิ์ทางการทูตจากสหรัฐอเมริกา 151 คน พร้อมด้วยคนไทย 3 คน เดินทางเข้าไทยด้วยสายการบินฮาวายเอียนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ HA917
          จากนั้นเวลา 07.10 น. คนไทยในสหรัฐอเมริกา 258 คน พร้อมด้วยชาวอเมริกันและชาวอินเดีย จำนวน 22 คน เดินทางถึงไทยด้วยสายการบินกาตาร์แอร์เวย์ เที่ยวบินที่ QR830 ในจำนวนนี้พบคนไทยมีไข้ 5 คน จึงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลต่อด้วยเวลา 12.25 น. คนไทย 7 คน จากกรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ มาถึงไทยด้วยสายการบินเคแอลเอ็มแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ KL875 และเวลา 14.50 น. คนไทยในแคนาดา 78 คน และชาวแคนาดา แคเมอรูน อินเดีย เนปาล จีน และรัสเซีย รวม 43 คน เดินทางถึงไทย ด้วยสายการบินออลนิปปอนแอร์เวย์ เที่ยวบินที่ NH847 โดยคนไทยทั้งหมดทุกเที่ยวบินที่ผ่านการตรวจคัดกรองโรคที่สนามบิน จะไปกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ ส่วนชาวต่างชาติทั้งหมดไปกักตัวในโรงแรมทางเลือก ASQ และ รพ.ทางเลือก AHQ ใน กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ
          ส่วนการระบาดของโรคโควิด-19 ในต่างประเทศ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกคำแนะนำมาตรการควบคุมโรครอบใหม่ว่า เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ควรสวมหน้ากากอนามัยเหมือนผู้ใหญ่ โดยเฉพาะกรณีไม่สามารถเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1 เมตรได้ และมีการระบาดแพร่หลาย ส่วนเด็กอายุ 5 ขวบลงมา ควรสวมหน้ากากอนามัยเป็นระยะ และเด็กอายุ 6-11 ขวบ ควรสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระดับการระบาดในพื้นที่หรือต้องติดต่อใกล้ชิดกับคนกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุหรือไม่ แต่ต้องมีผู้ใหญ่ช่วยสวมหรือถอดหน้ากากอนามัยให้อย่างถูกวิธีปลอดภัย องค์การอนามัยโลกยังยอมรับว่ามีข้อมูลหลักฐานน้อยเกี่ยวกับการที่เด็กแพร่เชื้อไวรัส แต่มีหลักฐานว่า วัยรุ่นสามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นไม่ต่างกับกรณีของผู้ใหญ่ ขณะที่ผู้ทำงานใกล้ชิดกับเด็ก อาทิ ครูอาจารย์ อายุต่ำกว่า 60 ปี และมีสุขภาพดี อยู่ในพื้นที่ระบาดแพร่หลาย องค์การอนามัยโลกแนะนำควรสวมหน้ากากผ้า ถ้าเว้นระยะห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 1 เมตรไม่ได้ แต่ถ้าอายุ 60 ปีขึ้นไปหรือมีปัญหาสุขภาพ ควรสวมหน้ากากอนามัย
          ข้อแนะนำการปฏิบัติตัวของเด็กมีขึ้นขณะเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพของอังกฤษเผยแพร่ผลการศึกษาวิจัยพบว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในโรงเรียนมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย แต่ไม่ใช่สำหรับบางประเทศ เช่น กรุงเบอร์ลินของเยอรมนี พบผู้ติดเชื้อ ไวรัสมรณะในโรงเรียนอย่างน้อย 41 แห่งจากทั้งหมด 825 แห่ง หลังกลับมาเปิดเรียนได้เพียง 2 สัปดาห์ ผู้ติดเชื้อยังพบมีอยู่ในทุกกลุ่มวัยเรียนทั้งประถมศึกษา มัธยมและระดับอาชีวะ ส่วนบางรัฐในสหรัฐอเมริกาที่เริ่มให้เปิดโรงเรียน มีรายงานพบการระบาดแบบคลัสเตอร์ในโรงเรียนหลายแห่งเช่นเดียวกับในอิสราเอล ด้านฝรั่งเศสที่มีแผนเปิดโรงเรียนภายในไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ ระบุให้เด็กนักเรียนอายุ 11 ขวบขึ้นไปต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
          ส่วนกรณีนายเทดรอส อะดานอม เกเบรเยซูส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก แสดงความหวังว่าการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะสิ้นสุดภายใน 2 ปี เหมือนกรณีไข้หวัดสเปนที่ระบาดเมื่อ 102 ปีก่อน ประชาคมโลกก็ควบคุมได้ใน 2 ปีนั้น เซอร์มาร์ค วัลพอร์ต สมาชิกกลุ่มที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์เพื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน (Sage) ของรัฐบาลอังกฤษ ออกมาระบุในทางตรงกันข้ามว่าไวรัสโควิด-19 จะอยู่กับมนุษย์ไปตลอดกาล ทั้งอาจอยู่ในรูปไวรัสสายพันธุ์เดิมหรือกลายพันธุ์เป็นไวรัสตัวใหม่ เพราะปัจจุบันประชากรโลกมีอยู่หนาแน่นกว่าช่วงไข้หวัดสเปนระบาดมาก การคมนาคมขนส่งก็สะดวกกว่า ไวรัสจึงแพร่ระบาดได้ง่ายและเร็ว จึงจำเป็นต้องมีการฉีดวัคซีนซ้ำเป็นระยะ เหมือนฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และการที่จะควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้คือต้องฉีดวัคซีนกันทั่วทั้งโลก แต่ยังวางใจไม่ได้เพราะไวรัสมรณะไม่เหมือนอย่างโรคไข้ทรพิษ (ฝีดาษ) ที่ขจัดให้หมดไปด้วยวัคซีนเข็มเดียว จึงมีโอกาสเกิดระบาดใหญ่จนควบคุมไม่ได้อีก และควรหามาตรการที่เจาะจงมาใช้ควบคุมการระบาด นอกเหนือจากการล็อกดาวน์
          ทั้งนี้ คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่สถานการณ์การระบาดในหลายประเทศยังน่าวิตก อาทิ อินเดีย ที่ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มมากถึงเกือบ 70,000 คน และเกาหลีใต้ ที่ต้องใช้มาตรการเข้มงวดรอบใหม่ ทั่วประเทศเพื่อควบคุมการระบาด หลังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เป็นเลข 3 หลักติดต่อกันเป็นวันที่ 10 แล้ว ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อสะสมใน 213 ประเทศหรือดินแดนทั่วโลกเมื่อวันที่ 23 ส.ค.เพิ่มเป็น 23.40 ล้านคน ผู้เสียชีวิตสะสม 8.08 แสนคน รักษาหาย 15.93 ล้านคน โดยสหรัฐอเมริกามีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากที่สุดในโลกที่ 5.84 ล้านคน และ 1.80 แสนคน ตามลำดับ ตามด้วยบราซิล มีผู้ติดเชื้อ 3.58 ล้านคน ผู้เสียชีวิต 1.14 แสนคน และอินเดีย ผู้ติดเชื้อทะลุ 3 ล้านคน เสียชีวิต 5.68 หมื่นคน

 pageview  1210918    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved