ศ.พญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ หน่วยโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช และมูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ระบาดของโรคมือเท้าปาก ลักษณะของโรคที่ส่วนใหญ่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งพบว่ายิ่งอายุน้อยลงยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น เพราะร่างกายของเด็กยังมีภูมิคุ้มกันน้อย ต่างจากผู้ใหญ่ที่เมื่อติดเชื้อนี้แล้วจะไม่แสดงอาการหรือแสดงอาการน้อยมาก การดูแลเด็กเล็กนอกจากเรื่องสุขอนามัยที่ดี การให้นมแม่ยังถือว่าเป็นวัคซีนชั้นดีที่จะป้องกันให้เด็กมีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้น้อยลง เพราะนมแม่มีสารที่เสริมภูมิต้านทานหลายอย่างให้ทารก เช่น สารอิมมูโนโกลบูลิน ทั้งชนิดไอจีจี และไอจีเอ สารแลคโตเฟอร์ริน สารโอลิโกแซคคาไรด์ ซึ่งสารเหล่านี้มีมากที่สุดในช่วงหลังคลอดใหม่ๆ ที่เป็นนมน้ำเหลือง (โคโลสตรัม) และยังคงมีอยู่ตลอดเวลาที่แม่ให้นมลูก
ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าวว่า มีการพิสูจน์ทางการแพทย์ชัดเจนว่า สารเหล่านี้จะปกป้องผิวเยื่อบุทางเดินอาหาร ลำไส้ และทางเดินหายใจ ทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายของทารกไม่ได้ และยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสได้ ทั้งเอ็นเทอโรไวรัส (อีวี 71) และไวรัสที่ก่อโรคทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจอีกหลายชนิด โดยมีการศึกษาว่า ถ้าทารกได้รับนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 2 สัปดาห์ จะลดการติดเชื้อเอ็นเทอโรไวรัสได้ครึ่งหนึ่งในช่วงอายุ 1 ขวบ ดังนั้น ยิ่งได้รับนมแม่ปริมาณมากและยาวนาน ประสิทธิภาพในการปกป้องการติดเชื้อก็จะยิ่งมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นการกินนมแม่อย่างเดียวโดยไม่กินนมผงเลย เพราะสารที่อยู่ในนมแม่ต่างจากสารสกัดที่อยู่ในนมผง อีกทั้งยังมีปริมาณมากกว่า ทำให้สามารถปกป้องลูกได้
"เมื่อร่างกายได้รับสิ่งแปลกปลอมจะผลิตภูมิต้านทานมาต่อสู้ แต่เด็กมีกลไกการผลิตภูมิต้านทานที่ต่ำกว่าผู้ใหญ่ การกินนมแม่จึงเป็นการส่งต่อภูมิต้านทานจากแม่ไปสู่ลูกอย่างหนึ่ง โดยสารอิมมูโนโกลบูลิน เป็นสารที่อยู่เฉพาะในนมแม่ ทำให้ลูกมีภูมิต้านทานโรคต่างๆ ได้ดี ยิ่งให้นมลูกยาวนานก็จะยิ่งทำให้ลูกได้รับการคุ้มกันยาวนานขึ้น และนมแม่ยังสะดวก สะอาด ไม่ต้องกังวลเรื่องการปนเปื้อนเชื้อโรค เป็นการส่งเสริมสายใยรักพัฒนาการ และความฉลาดให้ลูก การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า" ศ.พญ.กุลกัญญา กล่าว |