นายแพทย์คอสตาส ปาปาโดปูลอส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาทางการแพทย์ บริษัท ไทย สเตมไลฟ์ จำกัด กล่าวว่า สถิติจากปี 2005-2006 ในประเทศไทยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สาเหตุหลักของการเสียชีวิตในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีมาจากการขาดอากาศหายใจและการบาดเจ็บระหว่างคลอด อุบัติเหตุบนท้องถนนและการจมน้ำ ทั้ง 3 สาเหตุนี้คิดเป็น 35% ของการเสียชีวิต ซึ่งอุบัติเหตุบนท้องถนนยังคงเป็นสาเหตุอันดับ 2 ของการเสียชีวิตและทุพพลภาพ
ปัญหาที่เกิดขึ้นจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอุบัติเหตุ การรักษาทุกรูปแบบในปัจจุบันคือ"การรอและสังเกตการณ์" โดยเฉลี่ยแล้ว ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่ได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะอย่างรุนแรงต้องผ่าตัดเพื่อที่จะกำจัดลิ่มเลือด หยุดอาการเลือดออก ซ่อมแซมเส้นเลือด หรือ อาการเนื้อเยื่อสมองช้ำระยะที่เด็กๆ จำเป็นต้องพักรักษาตัว ในโรงพยาบาลที่เกิดจากการกระทบกระเทือนสมองชนิดปานกลางและรุนแรงไม่เปลี่ยนแปลงมานานกว่า 10 ปื และโดยเฉลี่ยแล้ว 1 ใน3 ของผู้ป่วยซึ่งมีอาการบาดเจ็บทางสมองอย่างรุนแรงนั้นมีการรักษาไม่เป็นที่น่าพอใจ(เสียชีวิตหรือพิการทางสมองในระดับรุนแรงหรือปานกลาง) สำหรับความพิการทางสมองที่เกิดจากการกระทบกระเทือนระดับปานกลางนั้นมีความสำคัญมากต่ออัตราการเสียชีวิตและความพิการในระยะยาวไม่ลดน้อยลงเลยมานานกว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
นายแพทย์คอสตาส กล่าวว่า ปัจจุบันการวิจัยโดยการใช้สเตมเซลล์รักษาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศผลการรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาที่เกิดการบาดเจ็บก่อนการรักษา การรักษาโดยใช้สเตมเซลล์ของตัวเอง อาจจะเป็นความหวังของคนในทุกระดับอายุแต่ผู้ป่วยต้องมีสเตมเซลล์พร้อมสำหรับเวลาจำเป็นในการรักษาด้วยวิธีใหม่ๆ ดังนั้นการเก็บ สเตมเซลล์ของเด็กตั้งแต่แรกเกิดจากเลือดในรกและสายสะดือของเด็กก็เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่ง และมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือว่าสเตมเซลล์ที่อ่อนวัยนี้ จะให้ผลตอบสนองที่ดีที่สุด การให้การดูแลตามมาตรฐานและอย่างใกล้ชิดก็สามารถลดผลแทรกซ้อนในการรักษาได้ทั้งนี้การปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธี การช่วยให้เด็กสามารถหายใจได้ด้วยการให้ออกซิเจน และการนำเด็กไปถึงมือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างถูกวิธีและปลอดภัย จะมีส่วนช่วยอย่างมากที่จะทำให้เด็กมีโอกาสรอดชีวิต ตลอดจนสามารถป้องกันไม่ให้สมองของเด็กเกิดการพิการอย่างถาวรอีกด้วย |