|
พิมพ์ไทย [ วันที่ 17/12/2555 ] |
|
|
|
|
เตือนเที่ยวป่าหน้าหนาวเสี่ยงติดโรคสครับไทฟัส |
|
|
|
|
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า โรคสครับไทฟัสหรือโรคไข้รากสาดใหญ่เกิดจากตัวไรอ่อน (Chigger)กัดหรือดูดเลือด ซึ่งในตัวไรอ่อนจะมีเชื้อริกแกตเซีย (Rickettsia) เชื้อนี้อาศัยอยู่ในสัตว์ตระกูลฟันแทะ เช่น กระแต กระจ้อน หนู ซึ่งตัวไรอ่อนจะเข้าไปกัดตามตัวโดยเฉพาะที่พบบ่อยคือ บริเวณร่มผ้า เช่น ขาหนีบ เอว ลำตัวบริเวณใต้ราวนม รักแร้ และคอ โดยโรคนี้จะมีระยะฟักตัวของโรค 6 -21 วัน หรือโดยเฉลี่ยประมาณ 1 สัปดาห์ ลักษณะเฉพาะของโรคนี้อย่างหนึ่งที่พบได้คือรอยแผลเหมือนโดนบุหรี่จี้ ตรงบริเวณที่ถูกไรอ่อนกัด แต่อาการของโรคจะค่อนข้างหลากหลาย ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระบอกตาตาอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต ไอแห้ง และอาจมีอาการอักเสบที่สมอง ปอดบวมดีซ่าน ในรายที่อาการรุนแรงหัวใจจะเต้นเร็วมาก ความดันโลหิตต่ำ อาจถึงขั้นช็อกเสียชีวิตได้
ทั้งนี้จากรายงานสำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรค ตั้งแต่เดือนม.ค.จนถึง 18 พ.ย. 55 ทั่วประเทศมีผู้ป่วยโรคสครับไทฟัส จำนวน 7,412 ราย เสียชีวิต 4 ราย พื้นที่ที่พบผู้ป่วยโรคสครับไทฟัสมากที่สุด ได้แก่ ภาคเหนือรองลงมาคือภาคอิสาน
นพ.สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า อาการของโรคสครับไทฟัสไม่ได้รุนแรงเหมือนไข้มาลาเรีย แต่หากรักษาไม่ทันหรือไม่ทราบว่าเป็นอาการจากไรอ่อนกัด อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ไตเป็นพิษ ไตวาย ซึ่งการรักษาไม่สามารถรับประทานยาจำพวกแก้ไขแก้ปวดได้ เนื่องจากโรคนี้ต้องใช้ยาปฏิชีวนะโดยแพทย์เท่านั้น ดังนั้นหลังกลับออกจากเที่ยวป่าภายใน 2 สัปดาห์ แล้วป่วยมีไข้ขึ้นสูง มีอาการปวดศีรษะ ควรรีบไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการเข้าไปในป่าให้แพทย์ทราบเพื่อรับการรักษาโดยเร็ว |
| | |
|
|