|
สยามรัฐ [ วันที่ 01/07/2563 ] |
|
|
|
|
ไทยติดใหม่อีก 2 คนเดินทางจากกาตาร์ ครม.ไฟเขียวหยุดยาวตั้งแต่ 25-28 ก.ค. |
|
|
|
|
ศบค.แจงยอดผู้ป่วยใหม่ในไทย มี 2 ราย แต่เป็นผู้ป่วยที่อยู่ในสถานกักกันของรัฐบาล พบกลับจากกาตาร์ ด้าน ครม. มีมติให้วันที่ 27 ก.ค. 63 เป็นวันหยุดชดเชยสงกรานต์ ทำให้ช่วงปลายเดือน ก.ค. คนไทยจะมีวันหยุดยาว 4 วัน 25-28 ก.ค. ด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการท่องเที่ยวเตรียมเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้วันที่ 15 ก.ค.นี้
ป่วย2รายที่ศูนย์กักกัน
ที่กระทรวงสาธารณสุข พญ.พรรณประภา ยงค์ตระกูล หรือ "คุณหมอบุ๋ม" ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์ผู้ป่วยโควิด-19 ประจำวันว่า มีผู้ป่วยรายใหม่ในสถานกักกันที่รัฐจัดให้ จำนวน 2 ราย ไม่พบผู้ป่วยในประเทศ รวมผู้ป่วยสะสม 3,171 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 2,444 ราย กลับจากต่างประเทศ 234 ราย กลับบ้านได้ 3 ราย รวมสะสม 3,171 ราย อยู่ในโรงพยาบาล 57 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ผู้เสียชีวิตสะสม 58 ราย
พบเดินทางกลับจากกาตาร์
สำหรับผู้ป่วยโควิดรายใหม่ เดินทางกลับมาจากกาตาร์ 2 ราย เป็นพนักงานนวด เพศชายอายุ 27 และ 28 ปี โดยเดินทางถึงไทย 16 มิ.ย. ที่ผ่านมาในการตรวจหาเชื้อวันแรก 21 มิ.ย.ไม่พบเชื้อ ตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 วันที่ 27 มิ.ย. พบเชื้อไม่มีอาการและมีผู้โดยสารที่มาเที่ยวบินเดียวกันพบเชื้อ 3 ราย
ผ่อนเฟส5ห้ามประมาท
พญ.พรรณประภากล่าวว่า ประเด็นที่น่าสนใจในต่างประเทศ คือสหรัฐอเมริกาขอความร่วมมือจากประชาชน คนหนุ่มสาว ให้หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าเมื่ออยู่นอกเคหสถานหรือเข้าสู่พื้นที่เสี่ยงซึ่งยากรักษาระยะห่าง ซึ่งเหมือนกับมาตรการของประเทศไทย โดยวันที่ 1 ก.ค. ไทยจะผ่อนคลายระยะที่ 5 การรักาาระยะห่างทำได้ยากขึ้น ปราการสุดท้ายที่จะช่วยได้ คือ การสวมหน้ากากอนามัย
"วันที่ 1 ก.ค. จะผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 5 การต่อสู้กับเชื้อโควิดก็เหมือนการเล่นชักเย่อ ก่อนหน้านี้เรามีกำลังหลัก กำลังเสริมในการดึงต่อสู้กับเชื้อโควิด กำลังเสริมคือมาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐออกมา เช่น การล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อ แต่วันนี้มาตรการผ่อนคลายจากระยะที่ 1-5 เราค่อยๆ ปล่อยมือของกองกำลังเสริม"
"ดังนั้น กองกำลังหลักของเรา คือ สองมือของพี่น้องประชาชนที่จะช่วยให้เราต่อสู้กับเชื้อโควิดได้ สองมือที่จะสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และรักษาระยะห่าง ปราการด่านสุดท้ายที่จะทำให้ประเทศไทยฝ่าพ้นวิกฤตโควิด-19 ไปได้” พญ.พรรณประภา กล่าว
สรุป15.3ล้านคนได้ห้าพัน
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงถึงโครงการเราไม่ทิ้งกัน เพื่อรับเงิน 5,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือนว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการจ่ายเงินเยียวยา ซึ่งกระทรวงการคลังจ่ายเงินเยียวยาครบ 3 เดือน ให้ผู้ที่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมด 15.3 ล้านคน จากกรอบที่ครม.อนุมัติหลักการไว้ 16 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ที่ผ่านเกณฑ์ 15.1 ล้านคน และอีก 2 แสนคน เป็นผู้ที่ลงทะเบียนไม่สำเร็จ แต่คัดกรองแล้วเข้าข่ายได้รับสิทธิ
สำหรับมาตรการดังกล่าวจะขยายระยะเวลาในการเยียวยา และเปิดลงทะเบียนช่วยเหลือผู้ที่ตกงานเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ต้องไปประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ซึ่งรัฐบาลก็น่าจะอยากเห็นก่อนว่าในวันที่ 1 ก.ค.2563 ได้ผ่อนคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 5 แล้ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหลายเปิดเกือบทั้งหมดจะเป็นอย่างไร
ส่วนผู้ที่ตกงาน หรือได้รับความเดือดร้อนส่วนใด ต้องประเมินก่อน ระยะต่อไปจากนี้จะไปกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาได้เร็วที่สุด
ที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้เปิดรับร้องเรียนปัญหาเรื่องเงินเยียวยา 5,000 บาท ที่กรมประชาสัมพันธ์ ศูนย์ดำรงธรรมในพื้นที่จังหวัดต่างๆ และผ่านสาขาธนาคารของรัฐ มีประชาชนเข้ามาร้องเรียนกว่า 2.2 ล้านคน ขณะนี้อยู่ระหว่างนำข้อมูลเข้าสู่ระบบและประมวลความช่วยเหลือ ซึ่งจะทำให้แล้วเสร็จภายในวันนี้ โดยพบมากกว่า 80% กลุ่มดังกล่าวได้รับการเยียวยาผ่านมาตรการทางใดทางหนึ่งของภาครัฐแล้ว ทั้งมาตรการเยียวยาเกษตรกร กลุ่มเปราะบาง รวมถึงบัตรสวัสดิการด้วย
15ก.ค.ลงทะเบียนเที่ยว
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณ 22,400 ล้านบาท ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจสังคมภาคการท่องเที่ยว จำนวน 2 โครงการประกอบด้วย
1.โครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ที่เป็นรวมโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" กับโครงการ "เที่ยวปันสุข" มาไว้ด้วยกัน โดยมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขสนับสนุนค่าเดินทางเฉพาะตั๋วเครื่องบินเพียงอย่างเดียว ส่วนค่ารถโดยสารประจำทางอื่นๆ นั้น จากการสำรวจพบว่ามีผู้ประกอบการให้บริการรถร่วมที่เป็นรถโดยสารไม่ประจำทางและรถเช่าเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถจัดทำแพลตฟอร์มที่จะตรวจสอบได้ทัน
ทั้งนี้ทางธนาคารกรุงไทยจะดำเนินการจัดทำแพลตฟอร์มให้ผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหารโฮมเสตย์ สถานที่ท่องเที่ยว ลงทะเบียนได้ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ ส่วนประชาชนจะสามารถลงทะเบียนขอใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค. 63 ทางแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง" โดยเข้าไปกรอกข้อมูลส่วนบุคคลก่อน เมื่อได้สิทธิ์แล้วจึงเข้าไปลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัน.com
สำหรับการช่วยเหลือค่าที่พักนั้น รัฐบาลจะโอนเงินค่าที่พักให้ผู้ประกอบการในอัตรา 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/คืน โดยแต่ละคนจะได้รับสิทธิจองห้องพักไม่เกิน 5 คืน ส่วนค่าอาหารและเข้าชมสถานที่ รัฐบาลจะสนับสนุนในอัตรา 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่เกิน 600 บาท/ห้อง/คืน
ส่วนค่าตั๋วเครื่องบินจะสนับสนุน 2,000 บาท/คน จำกัดจำนวน 2 ล้านใบ โดยผู้ได้รับสิทธิจะต้องสำรองจ่ายไปก่อน รัฐบาลจะจ่ายคืนให้ในอัตรา 40 เปอร์เซ็นต์ ตั๋วไป-กลับช่วยไม่เกิน 1,000 บาท/ที่นั่ง
2.โครงการ"กำลังใจ"สำหรับเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) จำนวน 1.2 ล้านคนผ่านบริษัทท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 2 วัน 1 คืน โดยสาธารณสุขจังหวัดจะรวบรวมรายชื่อผู้ที่ได้รับสิทธิส่งให้ ททท. ประสานไปยังบริษัทท่องเที่ยว
กพท.ให้11กลุ่มบินเข้าออก
รายงานว่า นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) แจ้งว่า นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศ เรื่อง เงื่อนไขในการอนุญาตให้อากาศยานทำการบินเข้าออกประเทศไทยบาง หลังก่อนหน้านี้ได้มีการห้ามอากาศยานทำการบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราวมาตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. พ.ศ. 2563 เพื่อสนับสนุนการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด-19
ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ยังคงมีความรุนแรงในต่างประเทศ จึงจำเป็นต้องกำหนดมาตรการจำกัดการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ให้สอดคล้องกับความสามารถในการ จัดการคัดกรองของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรการป้องกันโรค และเพื่อการควบคุมและป้องกันมิให้เกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 ได้ออกประกาศกำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้ อากาศยานบินผ่าน บินเข้าหรือออกนอกราชอาณาจักร หรือขึ้นลงในราชอาณาจักร ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 อากาศยานดังต่อไปนี้สามารถทำการบินผ่าน บินเข้าออกนอกราชอาณาจักร หรือขึ้นลง ในท่าอากาศยานที่ให้บริการการบินระหว่างประเทศได้ เมื่อได้รับการอนุญาตการบินจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
1. อากาศยานราชการหรือที่ใช้ในราชการทหาร, 2. อากาศยานที่ขอลงฉุกเฉิน, 3. อากาศยานที่ขอลงทางเทคนิค โดยไม่มีผู้โดยสารออกจากเครื่อง, 4. อากาศยานที่ทำการบินเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม ทำการบินทางการแพทย์ หรือการขนส่งสิ่งของเพื่อสงเคราะห์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด–19, 5. อากาศยานที่ได้รับอนุญาตให้ทำการบินรับส่งบุคคลกลับประเทศไทยหรือกลับภูมิลำเนา และ 6. อากาศยานขนส่งสินค้า
ข้อ 2 อากาศยานขนส่งคนโดยสารที่จะทำการบินผ่าน บินเข้าออกนอกราชอาณาจักร หรือขึ้นลงในท่าอากาศยานในราชอาณาจักรที่ให้บริการการบินระหว่างประเทศ จะได้รับอนุญาตการบินจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยเฉพาะเมื่อผู้โดยสารหรือผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรนั้นเป็นบุคคล ประเภทใดประเภทหนึ่ง ดังต่อไปนี้
1. ผู้มีสัญชาติไทย, 2. ผู้มีเหตุยกเว้นหรือเป็นกรณีที่นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด อนุญาต หรือเชิญให้เข้ามาในราชอาณาจักรได้ตามความจำเป็น โดยอาจกำหนด เงื่อนไขและเงื่อนเวลาก็ได้, 3. ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของผู้มีสัญชาติไทย
4. ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรหรือได้รับอนุญาตให้มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร, 5. ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีใบอนุญาตทำงานหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมาย ตลอดจนคู่สมรสหรือบุตรของบุคคลดังกล่าว, 6. ผู้ขนส่งสินค้าตามความจำเป็น แต่เมื่อเสร็จภารกิจแล้วให้กลับออกไปโดยเร็ว, 7. ผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะซึ่งจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจและมีกำหนดเวลาเดินทางออกนอกราชอาณาจักรชัดเจน
8. ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาของสถานศึกษาในประเทศไทย ที่ทางการไทยรับรอง ตลอดจนบิดามารดาหรือผู้ปกครองของบุคคลดังกล่าว, 9. ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีความจำเป็นต้องเข้ามารับการตรวจรักษาพยาบาลในประเทศไทยและผู้ติดตามของบุคคลดังกล่าว แต่ต้องไม่เป็นกรณีเข้ามาเพื่อการรักษาพยาบาลโรคโควิด–19
10. บุคคลในคณะทูต คณะกงสุล องค์การระหว่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐต่างประเทศซึ่งมาปฏิบัติงานในประเทศไทย หรือบุคคลในหน่วยงานระหว่างประเทศอื่นตามที่กระทรวงการต่างประเทศอนุญาตตามความจำเป็น ตลอดจนคู่สมรสบิดามารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว, 11. ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษ กับต่างประเทศ
ข้อ 3 อากาศยาน และผู้โดยสารหรือผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อ 2 จะต้องปฏิบัติ ตามเงื่อนไข เงื่อนเวลาและหลักเกณฑ์ของผู้มีอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง กฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศและกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่มีผลบังคับใช้อยู่ เพื่อการป้องกันโรคและจัดระเบียบจำนวนบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรให้สอดคล้องกับความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการคัดกรองและการจัดสถานที่ไว้กักกัน (quarantine) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 เวลา 00.01 น. เป็นต้นไป
27ก.ค.หยุดชดเชยสงกรานต์
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้วันจันทร์ที่ 27 ก.ค. 63 เป็นวันหยุดราชการพิเศษเพื่อชดเชยช่วงสงกรานต์ 1 วัน ซึ่งจะส่งผลให้มีวันหยุดต่อเนื่อง 4 วันในช่วงเวลาดังกล่าว คือ 25-28 ก.ค. โดยวันที่ 28 ก.ค.63 เป็นวันหยุดเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ก่อนนี้คณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 ให้เลื่อนวันหยุดราชการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2563 ออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะคลี่คลาย
ขณะนี้การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มคลี่ลายลง ประกอบกับภาครัฐได้มีการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ และอนุญาตให้ผู้ประกอบการและประชาชนสามารถดำเนินกิจการและกิจกรรมได้เพิ่มมากขึ้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติกำหนดวันหยุดราชการในเดือนกรกฎาคม 2563 เพิ่ม 1 วัน คือวันจันทร์ที่ 27 ก.ค. 63 เพื่อชดเชยวันหยุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ประจำปี พ.ศ. 2563 ซึ่งจะทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันในสัปดาห์ดังกล่าวเป็น 4 วัน คือ วันเสาร์ที่ 25 – วันอังคารที่ 28 ก.ค. 63
อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีได้ให้หัวหน้าหน่วยงานพิจารณาความเหมาะสมควรของวันหยุด โดยไม่ให้ราชการเสียหายหรือกระทบต่อการบริการพี่น้องประชาชน สำหรับรัฐวิสาหกิจ สถานบันเทิง และภาคเอกชน ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงาน พิจารณาตามความเหมาะสมในการกำหนดเป็นวันหยุดให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องในแต่ละกรณีต่อไป
WHOเตือนระบาดหนักอีก
นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก เปิดเผยว่าไวรัสจะยังคงแพร่กระจายและทำให้ผู้คนจำนวนมากมายติดเชื้อเพิ่มขึ้นอีก หากรัฐบาลของประเทศต่างๆ ไม่เริ่มต้นดำเนินมาตรการที่ถูกต้องด้วยการตรวจสอบ ติดตาม แยกผู้ป่วย และกักบริเวณ จนถึงขณะนี้การแพร่ระบาดใหญ่ของ โควิด-19 เกิดขึ้นมานานถึง 6 เดือนแล้ว นับตั้งแต่มีรายงานพบการแพร่ระบาดของไวรัสปริศนาที่นครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ของสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
นายกีบรีเยซุส กล่าวว่า เราทุกคนอยากให้มันยุติลงและกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่มันเป็นความจริงที่อยากจะเกิด เพราะขณะนี้มันไม่ได้ใกล้เคียงที่จะจบเลย แม้หลายประเทศจะมีความคืบหน้า แต่ในความเป็นจริงเมื่อดูสถานการณ์ทั่วโลกแล้ว การแพร่ระบาดกลับเร่งความเร็วขึ้น
“ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ 10,000,000 คน และผู้เสียชีวิตครึ่งล้าน หากเราไม่จัดการกับปัญหาที่องค์การอนามัยโลกได้เคยระบุไว้คือการขาดความเป็นเอกภาพในชาติ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในโลก โลกที่แบ่งแยกจะยิ่งช่วยให้ไวรัสแพร่ระบาดมากขึ้น สิ่งที่เลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ” นายกีบรีเยซุส กล่าว
ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกย้ำว่าเขาเสียใจที่จะต้องพูดเช่นนั้น แต่เนื่องจากสภาพแวดล้อมรวมถึงเงื่อนไขต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้หวั่นวิตกว่าสิ่งต่างๆ จะเลวร้ายมากไปกว่านี้ พร้อมกับขอร้องให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ดำเนินการตามประเทศอย่างเยอรมนี ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่สามารถเป็นแบบอย่างในการควบคุมการแพร่ระบาดด้วยการดำเนินนโยบายในการตรวจสอบและติดตามหาผู้ติดเชื้ออย่างเข้มงวด
ไทยติด14ชาติปลอดโควิด
นักการทูตอียูได้ลงมติเห็นชอบรายชื่อ 14 ประเทศที่ปลอดภัยจากโควิด-19 ซึ่งยังต้องรอการยืนยันจากรัฐบาลยุโรปอีกชั้นหนึ่ง ในขณะที่สหรัฐฯ, บราซิล และรัสเซียซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงรุนแรงไม่ถูกรวมอยู่ในกลุ่มนี้
สำหรับประเทศที่มีชื่ออยู่ในเซฟลิสต์ของยุโรปเวลานี้ ได้แก่ แอลจีเรีย, ออสเตรเลีย, แคนาดา, จอร์เจีย, ญี่ปุ่น, มอนเตเนโกร, โมร็อกโก, นิวซีแลนด์, รวันดา, เซอร์เบีย, เกาหลีใต้, ไทย, ตูนิเซีย และอุรุกวัย แต่ก็ยังต้องรอการอนุมัติยืนยัน เนื่องจากรัฐบาลยุโรปแต่ละชาติก็ยังลังเลว่าจะใช้ระบบจัดการพรมแดนภายนอกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือไม่
ป่วยทั่วโลก10.4ล้านคน
เว็บไซต์ worldometers รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ณ เวลา 18.00 น. ของวันที่ 30 มิ.ย. 63 โดยรายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก อยู่ที่ 10,432,846 คน เสียชีวิตสะสม 508,803 คน และรักษาหายแล้ว 5,691,959 คน
สหรัฐอเมริกา ติดเชื้อสูงสุด รวม 2,682,011 คน และเสียชีวิตแล้ว 128,788 คน ส่วนบราซิลมียอดติดเชื้อสะสมสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ติดเชื้อแล้ว 1,370,488 คน เสียชีวิตรวม 58,385 คน, รัสเซีย ติดเชื้อ 647,849 คน เสียชีวิต 9,320 คน, อินเดีย ติดเชื้อ 568,346 คน เสียชีวิต 16,919 คน และสหราชอาณาจักร ติดเชื้อ 311,965 คน เสียชีวิต เสียชีวิต 43,575 คน |
| | |
|
|