ย้ำยังเป็นสินค้าควบคุม-พบขายเกินราคาแจ้งเบาะแส
ทำเนียบฯ-เมื่อวันที่ 28 ก.ย.63 ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค.กล่าวถึงกรณีประเทศเมียนมามีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ถึงจำนวนหลักหมื่น จึงจำเป็นต้องมีการร่วมมือกันเพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งปกติประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน นั้นร่วมมือกันในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่ออื่นๆ อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ พูดคุยหารือเพิ่มเติมกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ในการหาทางช่วยเหลือประเทศเมียนมาที่เป็นต้นทางการแพร่ระบาด โดยเฉพาะในประเทศไทยที่มีพื้นที่ชายแดนติดกับประเทศเมียนมา 10 จังหวัด ก็ได้มีการตรวจคัดกรองโรคอย่างเข้มงวดเพื่อการดูแลพี่น้องประชาชนทั้ง 2 ประเทศ
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า ชี้แจงการบริหารจัดการหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ ซึ่งได้มีการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขในการจำหน่ายหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ผลิตในประเทศไทย ให้เข้าสู่ระบบกลไกตลาดตามปกติ เนื่องจากภาคเอกชนมีศักยภาพในการผลิตหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานมากขึ้นทำให้มีสินค้าในตลาดมากขึ้น และกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตจำหน่ายให้รัฐได้ทันที เมื่อภาครัฐมีความจำเป็นหรือเกิดวิกฤติเร่งด่วน และให้จำหน่ายปลีกในราคาไม่สูงกว่าชิ้นละ 2.50 บาทอย่างไรก็ตาม หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ยังคงเป็นสินค้าควบคุมอยู่ แต่สามารถจัดหาได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ หากประชาชนพบการขายหน้ากากอนามัยที่สูงเกินราคา สามารถแจ้งเบาะแสได้ทางสายด่วน 1111 หรือทางกระทรวงพาณิชย์ พร้อมขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ความร่วมมือปฏิบัติตามกฎ เพื่อให้ประชาชนสามารถซื้อหน้ากากอนามัยราคาถูก สามารถช่วยป้องกันการติดโรคได้
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่าประเทศไทยได้รับคำชื่นชมจากหลายประเทศที่มีความสามารถในการป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่งมาจากความร่วมมือของประชาชนทุกคน แต่ยังคงต้องใส่หน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าประเทศจะผ่อนคลาย แต่ประชาชนต้องเข้มงวด เพื่อให้สามารถปลดล็อกกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้นและทำให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง |