|
สยามรัฐ [ วันที่ 08/08/2555 ] |
|
|
|
|
'โวค ลิฟวิ่ง' ลุยสารให้ความหวานชูรสชาติเทียบน้ำตาล |
|
|
|
|
“โวค ลิฟวิ่ง” เดินหน้าลุย หลังคนไทยใส่ใจสุขภาพมากขึ้น เชื่อตลาดสารให้ความหวานโตต่อเนื่อง เช่นเดียวกับต่างประเทศ ชี้เป็นการป้องกันโรค เผยจุดเด่นรสชาติเหมือนน้ำตาล คาดโกยยอดขายสิ้นปีได้ตามเป้า
นายยอดเถา มุ่งมาตร ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ อาวุโส บริษัท โวค ลิฟวิ่ง จำกัด ผู้แทนจำหน่าย Sweet ’N Low ซึ่งเป็นสารให้ความหวานจากประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า แม้ปัจจุบันคนไทยจะยังนิยมบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลไม่มากเท่าในต่างประเทศ
แต่จากข้อมูลด้านสุขภาพ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ทำให้คาดว่าอีกไม่นาน คนไทยจะหันมาบริโภคสารให้ความหวานแทนน้ำตาลมากขึ้น ซึ่งทำให้ตลาดสารให้ความหวานมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกมาก
“จากการศึกษาของสำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าอีก 10 ปีข้างหน้า จะมีคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวาน รายใหม่ สูงถึงกว่า 8 ล้านคน”
ดังนั้น จึงมีการเสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินยุทธศาสตร์ ปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตของคนไทยให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา เพราะเบาหวานจัดได้ว่าเป็นโรคที่อันตรายมาก หากมีการให้ความรู้แก่คนไทย เชื่อว่าคนจำนวนหนึ่งคงหันมารับประทานสารให้ความหวานแทนน้ำตาลอย่าง Sweet ’N Low มากขึ้น
สำหรับในซีกโลกตะวันตกนั้น ประชาชนรับประทานสารให้ความหวานกันมาก เพราะตระหนักดีถึงภัยของโรคเบาหวาน ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของโรคที่เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิตมากที่สุด ในโรงพยาบาลหลายแห่งมีการแจกสารให้ความหวานให้คนไข้ไปรับประทานโดยไม่คิดมูลค่า เพราะถือว่าเป็นการป้องกันโรค ซึ่งใช้ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษามาก
“ในประเทศแถบตะวันตกนั้น กลุ่มเป้าหมายของ Sweet’N Low มีอยู่ 2 กลุ่มคือ 1.กลุ่มที่ต้องการมีสุขภาพ หรือรูปร่างดี กับ 2.กลุ่มผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน ซึ่งจำเป็นต้องควบคุมน้ำตาล ในอัตราส่วน 50:50 ส่วนในเอเชียยังไม่มีสถิติที่แน่นอน”
แต่คาดว่ากลุ่มผู้ป่วยเบาหวานจะมีมากกว่า เนื่องจากการวิจัยพบว่าคนเป็นโรคนี้ในเอเชีย ส่วนหนึ่งจะมาจากกรรมพันธุ์ การใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ถือเป็นการช่วยป้องกันโรคที่ดีในทางหนึ่ง
สำหรับผลิตภัณฑ์ Sweet ’N Low มีจุดเด่นอยู่ที่ประกอบด้วยสาร 2 ชนิด คือ แอสปาเตม และ Acesulfame K ขณะที่บางแบรนด์จะประกอบด้วยสารเพียงตัวเดียว คือ แอสปาเตม เท่านั้น สารเหล่านี้ได้รับการรับรอง จากหน่วยงานสาธารณสุขต่างๆ เช่น องค์การอนามัยโลก, เอฟดีเอ และยูโรเปี้ยน ฟู้ด แล้วว่าปลอดภัยต่อสุขภาพ และเมื่อมาอยู่รวมกัน จะให้รสชาติดีกว่ามาก โดยจะเหมือนน้ำตาลมากกว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้แอสปาเตมเป็นส่วนผสมหลักเพียงตัวเดียว
“ที่สำคัญก็คือ Sweet’N Low มิใช่เพียงใช้ผสมเครื่องดื่ม แต่ยังสามารถใช้ในการปรุงอาหาร หรือเบเกอรี่ได้ในปริมาณเดียวกับน้ำตาล โดยที่รสชาติอร่อยไม่เปลี่ยนแปลงด้วย”
สำหรับตลาดสารให้ความหวานในเมืองไทย มีมูลค่ากว่า 300-400 ล้านบาท และมีโอกาสจะเติบโตมากขึ้น ด้วยประเด็นทางสุขภาพดังกล่าวมาข้างต้น Sweet’N Low จะดำเนินกลยุทธ์โดยอาศัยจุดแตกต่างดังที่กล่าวมา และคาดว่าในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น และมีส่วนแบ่งตลาดไม่ต่ำกว่า 20% |
| | |
|
|