|
สยามรัฐ [ วันที่ 16/10/2555 ] |
|
|
|
|
หรือจะแค่ฝันไปตลอดชาติ |
|
|
|
|
การใช้รถใช้ถนนในบ้านเราเฉพาะอย่างยิ่งเมืองใหญ่อย่างกทม.มีปัญหาการจราจรอย่างมากเพราะรถมากกว่าถนนไม่ว่าจะรถยนต์รถมอเตอร์ไซค์ นำไปสู่สภาพการจราจรติดขัดยิ่งช่วงหน้าฝนตกถนนลื่น น้ำท่วมขังก็ยิ่งเพิ่มปัญหารถติดหนักยิ่งขึ้น นำไปสู่ผลกระทบต่อประชาชนและสังคมมหาศาลทั้งผลกระทบด้านเศรษฐกิจไปจนถึงผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจอย่างมาก
ปัญหาการจราจรที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสุขภาวะของประชาชนที่เป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในกทม.นำไปสู่การพูดถึงการแก้ปัญหาทางหนึ่งคือหันไปใช้รถจักรยานหรือรถถีบหรือไม่ก็เดินพูดกันมานานทีเดียว แต่ดูเหมือนจะได้แค่พูดไม่เกิดรูปธรรมการแก้ปัญหาได้จริงสักที
เท่าที่สังเกตดูเหมือนว่าประชาชนนั้นขานรับอยู่แล้ว แต่ไม่อาจตัดสินใจปฏิบัติได้อย่างจริงจังถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐคือการจัดเส้นทางใช้รถถีบหรือทางเดินอย่างเป็นสัดส่วนมิเช่นนั้นก็อันตรายทั้งจากอุบัติเหตุหรือผิดกฎหมาย
ดูเหมือนจะทำได้จริงจังแค่วันเดียวคือวัน "คาร์ฟรีเดย์โลก"
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย ชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทย จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการการเดินและจักรยาน : บทเรียนรู้และประสบการณ์จากสหพันธ์ผู้ใช้และนักจักรยานแห่งยุโรป หรือEuropean Cyclists' Federation (ECF) เพื่อหาแนวทางร่วมกันเพื่อผลักดันการเดินและจักรยานไปสู่นโยบายสาธารณะของประเทศไทย
Dr.Bernhard Ensinkเลขาธิการสหพันธ์ผู้ใช้และนักจักรยานแห่งยุโรป (ECF)ได้ถ่ายทอดบทเรียนรู้และประสบการณ์จากEFCว่า การใช้จักรยานแทนรถยนต์ในยุโรปนั้นเป็นการมุ่งเน้นไปที่การใช้จักรยานและการเดินเพื่อสุขภาพที่ดี เนื่องจากชาวยุโรปจำนวนไม่น้อยขาดกิจกรรมทางกาย คือ การออกกำลังกายจึงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งทรวงอก มะเร็งทวารหนัก โรคเบาหวานโรคหัวใจ ซึ่งในแต่ละปี มีชาวยุโรปเสียชีวิตเกือบ 1,000,000 คน
"การทำกิจกรรมทางกาย สามารถช่วยลดความเสี่ยงจากโรค อาทิ ลดการเสี่ยงและการตายจากโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจอุดตัน ลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง ลดการตายก่อนวัยจากทุกสาเหตุ การเดินและใช้จักรยานนั้นจะยิ่งทำให้มลพิษน้อยลง แถมสุขภาพแข็งแรงด้วย"
Dr.Bernhard บอกอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้ว ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยุโรปเป็นเมืองจักรยาน คือ การมีโครงสร้างพื้นฐานได้แก่ ถนนและการออกแบบผังเมืองอย่างเป็นระบบ โดยให้ความสำคัญต่อการเดินเท้าและการขี่จักรยานมากกว่าการใช้รถยนต์ ซึ่งหากประเทศไทยสามารถเปลี่ยนมาใช้จักรยานมากขึ้นกว่ารถยนต์จะเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ ดีทั้งจากการลดรับมลพิษเข้าร่างกาย ทั้งการได้ออกกำลังกายและลดใช้พลังงานที่สิ้นเปลืองด้วย
ด้านศ.กิตติคุณ ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ประธานชมรมจักรยานเพื่อสุขภาพแห่งประเทศไทยกล่าวว่า อยากให้เกิดการใช้จักรยานและการเดินได้จริงในประเทศไทย แต่เราคงไม่สามารถผลักดันเรื่องนี้ให้ประสบผลสำเร็จได้เพราะเป็นเพียงหน่วยงานเล็กๆ อย่างไรก็ตามการผลักดันรณรงค์การใช้จักรยานอย่างเดียวจะไม่เกิดผลแต่ต้องได้รับความร่วมมือจากนักการเมืองผู้บริหารประเทศ ผู้บริหารท้องถิ่นเพื่อกำหนดเป็นนโยบายจากภาครัฐและท้องถิ่น ที่สำคัญคือเราต้องทำให้รัฐบาลเห็นว่า สิ่งที่เราคิดเป็นสิ่งที่ดีโดยจะมีอยู่ 2 ส่วน คือ 1.ตัวเลขทางด้านการเงิน2.ความต้องการของประชาชน จึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าสังคมในปัจจุบันไม่พร้อม เราอาจต้องเริ่มปลูกฝังในเยาวชนตั้งแต่เด็ก
อีกท่านหนึ่งรศ.ดร.วิโรจน์ ศรีสุรภานนท์ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีมองว่า การใช้รถจักรยานบนท้องถนน ทุกวันนี้เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะมีความไม่ปลอดภัยจากรถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่ขับเร็วอาจเฉี่ยวชน และอีกปัจจัย คือ ทางเท้าในกรุงเทพฯ ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางอย่างต้นไม้ ตู้โทรศัพท์ แผ่นป้ายโฆษณารถประจำทาง แผงลอย ดังนั้น คงเป็นเรื่องที่ภาครัฐและประชาชนต้องร่วมมือกัน
รศ.ดร.วิโรจน์ บอกอีกว่า หากมีการปรับปรุงบริเวณทางเท้าให้กว้างขึ้น อย่างไม้พุ่มที่อยู่บนทางเท้า ถ้านำออกไปก็จะทำให้ทางเท้ากว้างและคนหันมาเดินมากขึ้น นอกจากนี้ควรมีการจัดการเสวนาให้ความรู้ เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญในการเดินและการใช้จักรยานมากขึ้น ดังนั้น อยากเห็นภาครัฐ เป็นตัวอย่างที่ดี ในการริเริ่มใช้การเดินและจักรยานด้วย
นอกจากนี้รศ.ดร.วิโรจน์เปิดเผยงานวิจัยโครงการ"แนวทางการส่งเสริมการใช้จักรยานในเขตกรุงเทพมหานคร"โดยสุ่มจากจำนวนผู้สอบแบบสอบถาม 543 คนพบว่า มีกลุ่มตัวอย่างมีผู้ที่ใช้จักรยานในปัจจุบันจำนวน174คน หรือคิดเป็นร้อยละ32 และหากมีการพัฒนาส่งเสริมที่เหมาะสม จะมีผู้สนใจใช้มากขึ้นเป็น 333 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 61 ส่วนเหตุผลหลักที่ตัดสินใจไม่ใช้จักรยาน เนื่องจากไม่มีจักรยานในครอบครองเหตุผลรองลงมา ได้แก่ ระยะทางเพื่อเดินทางไปทำกิจกรรมมีระยะทางไกล และคิดว่าเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ มีความล่าช้าในการเดินทาง และไม่สะดวกในการเข้าถึงที่หมาย และจากการสอบถามในกลุ่มผู้ที่ไม่ใช้จักรยานพบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 92 สามารถขี่จักรยานได้
การใช้จักรยานหรือการเดินไปทำงานแทนรถยนต์ แทนมอเตอร์ไซค์เป็นกิจวัตรประจำวันอย่างในหลายๆ ประเทศในยุโรปอาจเป็นเรื่องยากในสังคมไทย แต่คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเริ่ม
อยากเห็นรัฐบาลหรือกทม.เอาจริงสักทีอย่าแค่ฝัน ประโยชน์ที่ได้น่าจะคุ้มเกินคาดคิด |
| | |
|
|