นพ.พรเทพ โชติชัยสุวัฒน
ชมรมแพทย์ชนบท
จากนโยบาย การนำยาเก่ามาแลกไข่ใหม่ ของกระทรวงสาธารณสุข ที่สามารถนำยาเก่ามามากกว่า 37 ล้านเม็ดมาทำพิธีเผาทำลายยาที่ประชาชนเลิกใช้จำนวนกว่า 37 ล้านเม็ด มูลค่าไม่ต่ำกว่า 70 ล้านบาทนั้น สะท้อนถึงปัญหาการใช้ยาของประเทศที่ซ้อนเร้นอยู่ จากการขาดนโยบาย และมาตรการที่เหมาะสมในการบริหารจัดการ และควบคุมการบริโภคยาของประชาชน เช่น การรับยา และเวชภัณฑ์ที่ขาดการรวมจ่ายที่ เพื่อจูงใจในการใช้ยาอย่างเหมาะสม ขาดการการควบคุมร้านขายยาทให้มีคุณภาพ ที่ควรต้องจ่ายยาโดยเภสัชกร ระบบบริการที่ซ้ำซ้อน ไม่ผสมผสาน จนเกิดการบริการที่แออัด ไม่มีเวลาเพียงพอในการอธิบายการใช้ยาแก่ผู้ป่วยและญาติในโรงพยาบาลระดับต่างๆ สาเหตุเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งในการแก้ไขที่สาเหตุอย่างจริงจัง และเชื่อมโยง หาใช่เพียงแค่มีโครงการยาเก่าแลกไข่ใหม่ที่เป็นสีสัน หวูบไหวกับจำนวนเม็ดยาที่แลกมาได้เท่านั้น
จึงมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้1. การพัฒนาศักยภาพของ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบล (รพสต) หรือสถานีอนามัยทั้งด้านอัตรากำลัง เครื่องมืออุปกรณ์ และการร่วมบริการจัดการกับชุมชน ควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์ สร้างภาพลักษณ์ ให้เป็น ที่ยอมรับของประชาชน เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลศูนย์ เพื่อให้มีเวลามากเพียงพอในการอธิบายการใช้ยาที่ถูกต้อง เหมาะสม หรือใช้การให้คำปรึกษา เพื่อทดแทน และลดการใช้ยา
2. การพัฒนาด้านสารสนเทศ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการใช้ยาภายในโรงพยาบาล และระหว่างโรงพยาบาล เพื่อความ- ปลอดภัย และประหยัดค่าใช่จ่ายด้านยา เช่นข้อมูลการใช้ยาจากรพ.จังหวัดกับ โรงพยาบาลชุมชน การส่งเสริมให้ประชาชนนำยามาที่โรงพยาบาลทุกครั้งทั้งจาก รพ.ที่มา, รพ.อื่นๆ หรือแม้แต่ยาที่ได้มาจากแหล่งอื่นๆ เป็นต้น
3. การเชื่อมโยงการร่วมจ่ายของโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้าเข้ากับ นโยบายควบคุมการใช้ยา อาทิเช่น การร่วมจ่ายตามจำนวนรายการยาที่สั่ง เหมือนในประเทศอังกฤษ สำหรับรายที่มีฐานะยากจน ควรจัดมีการอนุเคราะห์ หรือช่วยจ่ายจากกองทุนของท้องถิ่น หรือชุมชน เป็นต้น
4. การควบคุมการจำหน่ายยาให้มีความปลอดภัย มีมาตรการทางกฏหมายที่จริงจังมากขึ้น ควบคู่ไปกับการสร้างความรู้ ความตระหนักด้วยสื่อสาธาณะที่มีคุณภาพ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากขึ้น แทนการตรวจจับเป็นฤดูกาล ตามระบบราชการเดิมๆ เท่านั้น ต่อยอดด้วยยุทธศาสตร์ด้านกำลังคนในการกระจายร้านยาที่มีคุณภาพไปสู่ชุมชนต่างๆอย่างทั่วถึง เพื่อให้มีระบบยาในชุมชนที่ปลอดภัย จนสามารถทัดเทียมอารยะประเทศที่พัฒนาแล้วในอนาคต และการปฏิรูปอุตสาหกรรมการผลิตยาให้มีรูปแบบยาที่เป็นมาตรฐาน สะดวกต่อการระบุชนิดของยามากขึ้น แทนการผลิตรูปแบบยาที่หลากหลายเพียงเพื่อเหตุผลทางการตลาด และมุ่งแสวงหาผลกำไรของ ผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น
5.การส่งเสริมวัฒนธรรมไทย และจิตสาธารณะให้สมดุลกับค่านิยมแบบทุนนิยม การนำยามาคืน แบบสมัครใจ เพื่อเป็นการทำความดี ทำบุญ สามารถนำยามาหมุนเวียน ให้ผู้อื่นได้นำไปใช้ ช่วยลดรายจ่าย เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
ดังนั้น โครงการยาเก่าแลกไข่ใหม่ เป็นเพียงการ แก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น ควรมีกำหนดนโยบาย และมาตรการที่เป็นรูปธรรม จริงจัง ต่อเนื่องด้านยา เวชภัณฑ์ เพื่อการแก้ไขที่สาเหตุอย่างบูรณาการ เพื่อสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้ยามากขึ้นต่อไป