|
|
|
หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 01/06/2564 ] |
|
|
|
|
ระบบสาธารณสุขเมียนมากับรัฐประหารและโควิด-19 |
|
|
|
|
คำเตือนติดปากของผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาว่าด้วยโรคระบาดไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดใดก็ตาม ก็คือระลอกที่สองมักรุนแรงกว่าการแพร่ระบาดระลอกแรกเสมอ
ปัญหาสำหรับชาติในกลุ่มประเทศอาเซียนหลายประเทศในเวลานี้ ที่โควิด-19 กำลังกลับมาแพร่ระบาดอย่างหนัก ทั้งๆ ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับการจัดการโควิดในระลอกแรกมาตลอดทั้งปี 2020 ที่ผ่านมา
เหตุไม่ใช่เป็นเพราะความไม่รู้หรือการไม่ใส่ใจคำเตือนดังกล่าว แต่เป็นเพราะการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในหลายชาติอาเซียน เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่ไม่เหมาะมากที่สุด หรือด้วยเหตุปัจจัยที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างเช่นกรณีของกัมพูชา ทุกอย่างเป็นปกติและอยู่ในความควบคุมด้วยดีมาจนถึง 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อนักท่องเที่ยวชาวจีน 4 ราย เดินทางเข้าประเทศมา ตรงเข้าพักที่โรงแรมสำหรับการกักตัว ในกรุงพนมเปญตามเงื่อนไข
ใครจะไปคาดคิดว่ากักตัวได้เพียงวันเดียว ทั้งหมดก็เล็ดลอดออกจากโรงแรมไปท่องเที่ยวหน้าตาเฉย ทั้งเข้าร่วมในงานปาร์ตี้และไนต์คลับ ด้วยการติดสินบนเจ้าหน้าที่รักษาการณ์ที่ประจำอยู่ในโรงแรมกักตัวอย่างน้อย 1 ราย
2 ใน 4 นักท่องเที่ยวจีน ถูกตรวจพบว่าติดเชื้อโควิดในไม่นานต่อมา ที่ประจวบเหมาะอย่างยิ่งก็คือ 1 ในจำนวน 2 รายนั้น ติดเชื้อสายพันธุ์เคนท์ จากประเทศอังกฤษ ที่แพร่ระบาดรวดเร็วมาก
ต้นเดือนพฤษภาคม กัมพูชาทำสถิติติดเชื้อรายวันสูงสุดใหม่ที่ 730 คน และยังคงอยู่ในระดับสูงเรื่อยมาจนถึงขณะนี้ ยอดผู้ป่วยสะสมรวมเป็น 28,825 ราย เสียชีวิตไปมากกว่า 200 รายแล้ว
หรือในกรณีของเวียดนาม ที่เกิดการแพร่ระบาดพุ่งสูงขึ้นเรื่อย นับตั้งแต่ปลายเมษายนที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้มีผู้ติดเชื้อสะสมรวม 6,856 ราย เสียชีวิต 47 ราย
ยอดผู้เสียชีวิตและกว่าครึ่งหนึ่งของยอดติดเชื้อ เป็นผลงานของการแพร่ระบาดเมื่อเร็วๆ นี้ทั้งสิ้น
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพิ่งตรวจสอบพบกันเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมว่า เนื่องจากสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดอยู่ในเวลานี้เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งพบเป็นครั้งแรกในโลกที่เวียดนามนี่เอง
เป็นลูกผสมระหว่างแวเรียนท์จากอินเดียกับแวร์เรียนท์จากอังกฤษ ที่อันตรายสูงอย่างยิ่งทั้งสองสายพันธุ์ เพราะแพร่ระบาดได้เร็วมากนั่นเอง
สถานการณ์ในไทยและในมาเลเซียในเวลานี้ก็หนักหนาสาหัส ไม่แพ้กัน
แต่ที่สร้างความกังวลให้กับผู้เชี่ยวชาญหรือแม้แต่องค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) มากที่สุด ก็คือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเมียนมา
จากที่เคยดูดี กลับล่มสลายไปในชั่วพริบตา ทั้งการรับมือการแพร่ระบาดและการกระจายวัคซีน
สืบเนื่องจากการกระทำรัฐประหารของกองทัพเมียนมาเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง
ก่อนหน้าการรัฐประหาร เมียนมารายงานการตรวจพบการติดเชื้อเพิ่มรายวันอยู่ระหว่างวันละ 300-500 ราย จากจำนวนประชากรทั้งสิ้น 55 ล้านคน
หลายคนบอกว่า ตัวเลขที่ว่านี้ต่ำไปจากความเป็นจริง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการตรวจหาเชื้อมีอยู่น้อยมากในเมียนมา
แต่หลังการรัฐประหาร แม้แต่ตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริงที่ว่านี้ ยังหดหายไปด้วย ไม่มีการรายงานยอดติดเชื้อเพิ่มรายวันอีกต่อไป
ผู้สื่อข่าวชาวเมียนมารายหนึ่งบอกว่า สาเหตุหลักมาจากการที่บุคลากรสาธารณสุขในเมียนมา ซึ่งรวมไปถึงแพทย์และพยาบาลเป็นเรือนหมื่นเรือนแสน เข้าร่วมในการประท้วงและปฏิเสธที่จะร่วมงานกับรัฐบาลหทารชุดใหม่ เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านด้วย "อารยะขัดขืน""ตอนนี้ไม่มีแม้แต่นักเทคนิคการแพทย์เพียงพอที่ตรวจหาเชื้อ และอ่านค่าการตรวจได้ เพราะฉะนั้น ข้อมูลที่ถูกต้องจึงไม่มีให้เห็น อีกต่อไป"
สิ่งที่รัฐบาลทหารเมียนมาใช้เพื่อตอบโต้การต่อต้านดังกล่าว กลับยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่หนักข้อขึ้นไปอีก
ข้อมูลขององค์การอนามัยโลกแสดงให้เห็นว่า แพทย์สนามอย่างน้อย 13 ราย ถูกสังหารเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ระหว่างการชุมนุม ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น การขนส่งบุคลากรและผู้ป่วย, สถานที่ด้านการแพทย์และพยาบาล และผู้ทำหน้าที่ดูแลด้านสุขภาพโดยตรงรวมทั้งแพทย์และพยาบาล ถูกจู่โจมมากถึง 179 ครั้ง เทียบเท่ากับเกือบครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ทำนองเดียวกันที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้
สเตฟาน โจสท์ ตัวแทนองค์การอนามัยโลกประจำเมียนมาระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์และสาธารณสุขถูกจับกุมควบคุมตัว ไปอีกอย่างน้อย 150 คน แพทย์และพยาบาลอีกนับเป็นเรือนพัน ถูกระบุชื่อเอาไว้ในประกาศจับ ต้องการตัวฐานยุยงส่งเสริมให้มีการ กระทำต่อต้านรัฐบาล
นั่นคือเหตุผลที่ว่า ทำไม การต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่อย่างโควิด-19 ซึ่งเดิมที่รัฐบาลทหารชุดใหม่ ประกาศให้เป็นการดำเนินการสำคัญเร่งด่วนถึงได้ล่มสลาย และแม้ว่าจะพยายามเรียกร้องให้แพทย์และพยาบาลกลับเข้าทำงานซ้ำแล้วซ้ำอีก
มีเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ตอบรับคำเรียกร้องดังกล่าวของรัฐบาลทหารเมียนมา
เจ้าหน้าที่หนึ่งในศูนย์เพื่อการกักกันโรคโควิด-19 ในนครย่างกุ้ง เปิดเผยกับรอยเตอร์ไว้ว่า บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญกับการรับมือโรคระบาดเป็นพิเศษประจำศูนย์แห่งนี้ เข้าร่วมในขบวนการอารยะขัดขืนกันทั้งหมด
"แผนกตรวจหาเชื้อของศูนย์เลิกรับผู้ป่วยใหม่มานานแล้ว เพราะศูนย์ตรวจหาเชื้อไม่มีเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ที่จะทำหน้าที่ตรวจ"
หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าการรัฐประหาร จำนวนการตรวจสอบหาเชื้อทั่วประเทศเฉลี่ยแล้วตกวันละกว่า 17,000 ราย ถึงตอนนี้รวมกันทั่วประเทศมีไม่ถึง 1,200 รายต่อวัน ในช่วง 7 วันจนถึง 26 พฤษภาคมที่ผ่านมา
ตัวเลขอย่างเป็นทางการของเมียนมาในเวลานี้ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สะสมรวม 3,200 ราย จากจำนวนติดเชื้อสะสมทั้งหมด 140,000 ราย
แต่ยอดการตรวจหาเชื้อที่ร่วงลงมหาศาล ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อ- เสียชีวิตที่ว่านี้ ตกอยู่ในความเคลือบแคลงสงสัยว่าต่ำเกินจริงไปมาก และยังแสดงความเคลื่อนไหวของยอดติดเชื้อ-เสียชีวิตเป็นแนวระนาบซึ่งขัดกับสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านที่แวดล้อมเมียนมาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นไทย หรืออินเดีย
หลุยส์ เฟอีร์-ยูนิส ผู้จัดการแผนกปฏิบัติการโควิด-19 ของสมาพันธ์ กาชาดสากล (ไอเอฟอาร์ซี) และสภาเสี้ยววงเดือนแดง (อาร์ซีเอส) แสดงความกังวลไว้ว่า
"การขาดหายไปของการตรวจหาเชื้อ, การรักษาพยาบาล และการ กระจายวัคซีนที่หลงเหลือจำกัดจำเขี่ยอย่างยิ่งในเมียนในเวลานี้ น่าวิตกอย่างมาก เพราะทุกคนกำลังเสี่ยงอยู่กับการแพร่ระบาดของสายพันธุ์กลายพันธุ์ใหม่ๆ ที่ก่อให้เกิดอันตรายได้สูงมาก"
องค์การอนามัยโลกเองพยายามติดต่อกับรัฐบาลทหารเมียนมา ชุดใหม่ เพื่อดูว่าดับเบิลยูเอชโอ จะให้ความช่วยเหลืออะไรได้บ้าง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จ
สเตฟาน โจสท์ ตัวแทนของอนามัยโลกประจำเมียนมา ยอมรับว่ายังมองไม่เห็นว่าสถานการณ์แพร่ระบาดในเมียนมาในเวลานี้จะได้รับการแก้ไขได้อย่างไร จนกว่าจะมีการแก้ไขเงื่อนปมทางการเมือง เพื่อยุติความขัดแย้งทางการเมือง
ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้นได้ในเร็ววันนี้ |
| | |
|
| |