นพ.นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า งานคุ้มครองผู้บริโภคด้านวัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนหรือทางสาธารณสุขมีความท้าทายเป็นอย่างยิ่งจำเป็นต้องมีระบบที่มีประสิทธิภาพในการจัดการสารเคมีและ
          การสื่อสารความเป็นอันตรายของสารเคมีที่สอดคล้องตามมาตรฐานสากล และเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ด้วยการนำระบบ GHS (Globally Harmonized System of Classification and Labeling of Chemicals) มาใช้กับวัตถุอันตรายภายใต้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ระบบนี้ต้องดำเนินการไปพร้อมๆ กัน ใน 4 มิติ ได้แก่ 1.มิติด้านกฎหมาย คือ การพัฒนากลไกการบังคับใช้ระบบ GHS เป็นกฎหมายและการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามระบบ GHS 2.มิติด้านเศรษฐกิจ คือ การส่งเสริมการนำระบบ GHS มาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและส่งเสริมภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ 3.มิติด้านเทคโนโลยี คือ การสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ และการประสานความร่วมมือทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และ ระหว่างภูมิภาค 4.มิติด้านสังคมและคุณภาพชีวิต คือ การพัฒนาศักยภาพผู้บริโภคและผู้ใช้สารเคมี โดยจะต้อง อาศัยความร่วมมือและความสนับสนุนจากทุกภาคส่วน
          "การบังคับใช้ระบบ GHS ในการแสดงฉลากวัตถุอันตรายในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) คาดว่าจะออกประกาศ ในปี 2556 ซึ่งเมื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว จะมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่านเป็น 1 ปี สำหรับสารเดี่ยว เช่น วัตถุดิบสารกำจัดแมลงเทคนิคอลเกรด และ 5 ปี สำหรับสารผสม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เช่น ผลิตภัณฑ์กำจัดแมลง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ" นพ.นรังสันต์กล่าว
          วันเดียวกันนี้ ที่โรงแรมริชมอนด์ จ.นนทบุรี อย.ได้จัดอบรมสัมมนาผู้ประกอบการวัตถุอันตราย เรื่อง การจำแนกประเภทความเป็นอันตรายและการติดฉลาก ตามระบบ GHS ขึ้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนนำไปสู่การปฏิบัติอย่างถูกต้อง