มีนาคมเป็นเดือนที่ทั่วโลกร่วมรณรงค์ต้านภัยมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง โรคร้ายที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ของหลายประเทศ เช่นเดียวกับในไทยที่ติดอันดับ 1 ใน 5  น่ากังวลที่มีอัตราการเกิดโรคนี้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ล่าสุดมีรายงานผู้ป่วยรายใหม่ 13,000 คนต่อปี ไม่สามารถรักษาจนเสียชีวิตประมาณ 5,000 คนต่อปี
          จู่ๆ เป็นโรคนี้ได้อย่างไร นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ชี้แจงว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ชอบกินอาหารประเภทกลุ่มเนื้อแดงกับเนื้อแปรรูปปิ้งย่างจนไหม้เกรียม อาหารไขมันสูง สารพัดอาหารกินด่วน มีพฤติกรรมเป็นนักดริ๊งค์ สิงห์อมควัน คนอ้วนน้ำหนักเกิน ก็เสี่ยง หรือถ้าตัวเองกับคนในครอบครัวมีประวัติมีติ่งเนื้อในลำไส้ก็ต้องเฝ้าระวังด้วย
          นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการ สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เสริมว่า โรคนี้จะเริ่มจากการเกิด ติ่งเนื้อในลำไส้ (polyp) และพัฒนาจนเป็นมะเร็งโดยใช้เวลาประมาณ 10-15 ปี  ในระยะเริ่มแรกมักจะไม่มีอาการ จะพบก็ต่อเมื่อโรคลุกลามมากขึ้นจนถึงระยะสุดท้าย ทำให้การรักษาได้ผลไม่ดีเท่าที่ควร อาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่ ถ่ายอุจจาระผิดปกติ ท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง ถ่ายไม่สุด ถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด หรืออาจถ่ายเป็นเลือดสด ขนาดลำอุจจาระเล็กลง ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืดเรื้อรัง เป็นต้น
          แต่ก็เป็นโรคที่สามารถตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาในระยะเริ่มแรกได้ ทำให้การรักษาได้ผลดีและมีโอกาสหายจากโรคสูง ใครที่มีอายุ 50-70 ปีขึ้นไป สามารถเข้ารับการตรวจเม็ดเลือดแดงแฝงในอุจจาระด้วยวิธี Fecal Immunochemical Test (FIT) ได้โดย ไม่เสียค่าใช้จ่ายที่สถานพยาบาลตามสิทธิ์การรักษา แล้วถ้าพบผลผิดปกติจะได้รับ การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อวินิจฉัยต่อไป