HISO - เรื่องเล่าข่าวเด่น

  
   Follow us      
  
หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก [ วันที่ 01/05/2555 ]
"มะเร็งตับ" ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง

 มะเร็งตับ(Hepatocellar carcinoma หรือ HCC) เป็นโรคที่พบได้บ่อย เป็นสาเหตุลำดับที่สองของการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง ในประเทศไทยมะเร็งตับเป็นมะเร็งที่พบบ่อยอันดับแรกในเพศชาย และอันดับที่สามในเพศหญิง รองจากมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก อัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง การลดปัจจัยเสี่ยงและการเฝ้าระวังโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ
          มะเร็งตับพบบ่อยในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 2-3 เท่า นอกจากนี้ภาวะตับแข็งจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม เช่น จากไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี หรือแอลกอฮอล์ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ สำหรับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังแตกต่างจากโรคอื่น คือสามารถพบมะเร็งตับได้ในขณะที่ยังไม่มีภาวะตับแข็ง และความเสี่ยงจะสูงขึ้น ถ้าผู้ป่วยอายุมากขึ้นในเพศชายที่อายุมากกว่า 40 ปี และเพศหญิงมากกว่า 50 ปี ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ การมีประวัติญาติสายตรงในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ การสูบบุหรี่ การได้รับสารอะฟลาท็อกซิน
อาการของโรคมะเร็งตับ
          ผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะแรกอาจไม่มีอาการแสดงใดๆ ที่จำเพาะ เพียงแต่แสดงอาการโรคตับแข็งที่เป็นอยู่ก่อนแล้ว อาการที่พบได้ของมะเร็งตับ เช่น เบื่ออาหาร แน่นท้อง ปวดท้อง ท้องโต ตัวเหลือง ตาเหลือง น้ำหนักลด รับประทานอาหารได้น้อยลง คลำก้อนได้ในท้อง
การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งตับ
          การตรวจสามารถทำได้หลายวิธี ในบางครั้งแพทย์อาจใช้การตรวจหลายแนวทางร่วมกัน เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งตับทำได้ดังนี้
          1.การตรวจทางรังสีวิทยา ได้แก่ การตรวจอัลตราซาวด์(Ultrasound) การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์(Computerized Tomography หรือ CT) การตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(MRI) โดยอาจใช้ในการฉีดสารทึบแสงร่วมด้วยเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย
          2.การตรวจเลือดหาระดับของสารอัลฟ่าฟีโตโปรตีน(AFP) ซึ่งอาจพบสูงขึ้นในผู้ป่วยมะเร็งตับ
การรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับ
          แนวทางการรักษามะเร็งตับสามารถทำได้หลายวิธีแต่ต้องคำนึงถึงสภาพและความรุนแรงของโรคตับ เช่น หากโรคตับแข็งของผู้ป่วยอยู่ในระยะที่การทำงานของตับไม่ดีหรืออยู่ในระยะท้ายๆ ของโรค การรักษาอาจมีข้อจำกัดได้ นอกจากนั้นขนาดของมะเร็งตับและการแพร่กระจายก็มีความสำคัญต่อแนวทางการรักษาด้วยผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคตับที่เป็นพื้นฐานอยู่เดิม พร้อมๆ ไปกับการรักษามะเร็งตับ
วิธีการรักษามะเร็งตับ ได้แก่
          1.การผ่าตัด ทำได้ในผู้ป่วยที่ยังไม่มีภาวะตับแข็งหรือเป็นตับแข็งระยะแรก และก้อนมะเร็งมีขนาดไม่โตมาก และยังไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะข้างเคียง
          2.การฉีดแอลกอฮอล์ เข้าก้อนมะเร็งโดยตรง ผ่านทางผิวหนัง ในกรณีที่ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก
          3.การใช้คลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงทำลายก้อนโดยใช้เข็มสอดผ่านทางผิวหนัง(Radiofrequency Ablation) คลื่นเสียงนี้ก่อให้เกิดความร้อน จนสามารถทำให้เซลล์มะเร็งตายได้
          4.การฉีดยาเคมีผ่านทางเส้นเลือด ร่วมกับการใช้สารอุดตันเส้นเลือดที่เลี้ยงก้อนมะเร็ง เป็นการลดเลือดที่ไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง เพื่อทำลายเนื้อมะเร็งโดยตรง
          5.ยาเคมีบำบัดโดยใช้ยารักษาแบบมุ่งเป้า(Targeted Therapy) เพื่อลดการเจริญเติบโตของมะเร็ง เช่น ยา Sorafenib
          6.การผ่าตัดปลูกถ่ายตับ
การเฝ้าระวังและการป้องกันการเกิดมะเร็งตับ
          1.รับประทานอาหารให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วป่นและพริกแห้ง ซึ่งอาจมีสารอัลฟ่าท็อกซินปนเปื้อนอยู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
          2.งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่
          3.แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบ บี
          4.ในกรณีที่มีภาวะตับแข็งแล้ว ควรตรวจเลือดและพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ตรวจอัลตราซาวน์ช่องท้องส่วนบน ทุก 6-12 เดือน เพื่อเฝ้าระวังมะเร็งตับ
 


pageview  1210913    
สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ Health Information System Development Office (HISO)
ห้อง A3 ชั้น 3 อาคาร 4Plus Buiding เลขที่ 56/22-24 ซอยงามวงศ์วาน 4 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
Tel : 02-5892490-2 Fax : 02-5892493 www.healthinfo.in.th
 
© Health Information System Development Office (HISO) . All Rights Reserved