กรุงเทพฯ * แพทยศาสตร์จุฬาฯ เตือนภัยโรคอ้วน ชี้ 10 ปีคนไทยมีแนวโน้มเป็นโรคอ้วนผิดปกติเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเผยผลวิจัยการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนผิดปกติ 100 ราย พบว่าร้อยละ 28 เป็นโรคเบาหวาน และร้อยละ 56 เป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งร้อยละ 80 โรคแทรกซ้อนดังกล่าวหายไปหลังจากลดน้ำหนักได้สำเร็จ
          รศ.นพ.วีรพันธุ์ โขวิฑูรกิจ แพทย์ผู้เชี่ยว ชาญภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในงานสัมมนา "แพทย์เตือนภัย หยุดภาวะโรคอ้วน กรณีศึกษาจากประสบการณ์จริง" ว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา และพบว่าโรคอ้วนมีความสัมพันธ์เสี่ยงต่อสุข ภาพทุกเพศ ทุกกลุ่มอายุ โดยผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 30 จะมีความเสี่ยงต่อชีวิตเพิ่มขึ้น และความเสี่ยงในการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นหากมี BMI มากกว่า 35-40 ขึ้นไป จะอยู่ในกลุ่มผู้ป่วยอ้วนผิดปกติ
          ด้าน รศ.นพ.สุเทพ อุดมแสวงทรัพย์ แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า การรักษาผู้ป่วยโรคอ้วนแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มค่า  BMI ไม่เกิน 35 จะใช้วิธีควบคุมปริมาณอาหาร ลดแป้ง น้ำตาลและไขมัน ร่วมกับการออกกำลังกาย แต่ในกลุ่มโรคอ้วนผิดปกติ ได้แก่ ผู้ที่มี  BMI มากกว่า 40 หรือมากกว่า 35 ร่วมกับมีโรคแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน ความดัน เป็นต้น การรักษาหลักจะใช้วิธีผ่าตัดใน 2 หลัก คือ 1.ลดขนาดกระเพาะ และ 2.การลดการดูดซึม
          รศ.นพ.สุเทพกล่าวต่อว่า จากประสบการณ์ในการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนผิดปกติ 100 ราย เป็นผู้หญิง 51 ราย และผู้ชาย 49 ราย อายุระหว่าง 18-57 ปี น้ำหนักเฉลี่ยก่อนรักษาคือ 136 กก. พบว่าคนไข้มีโรคแทรกซ้อนคือ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หยุดหายใจขณะนอนหลับ และไขมันในเลือดสูงผิดปกติ จากการติดตามหลังการผ่าตัด โดยเฉลี่ยสามารถลดน้ำหนักได้ถึงคนละ 50 กก. ทั้งหมดมีอาการดีขึ้นจากโรคแทรกซ้อน หายขาดจากโรคเบาหวาน 82% และโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือด และโรคหยุดหายใจขณะเวลาหลับก็หายขาดถึง 60% จากประสบการณ์นี้ทำให้ทราบถึงมหันตภัยจากโรคอ้วน และหากสามารถควบคุมโรคอ้วนได้ โรคแทรกซ้อนต่างๆ จะดีขึ้นหรือหายไป
          "จากความรู้ที่ได้นี้ หากเราสามารถช่วยกันหยุดโรคอ้วนได้ก็สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ จึงอยากเชิญชวนทุกคนดูแลตัวเองไม่ให้อ้วน จะได้มีสุขภาพที่ดี".