หลายๆ คนอาจไม่รู้ว่าการอาบน้ำอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการทำร้ายผิวโดยที่เราไม่รู้ตัว และคงเคยรู้สึกถึงอาการระคายเคืองบนผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งตึง ผิวลอก และคันผิว ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกเราว่า "ผิวขาดสมดุล"ผิวสมดุลคืออะไร และปัจจัยที่ทำให้ผิวขาดสมดุล
          อาการ"ผิวขาดสมดุล" สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยทั้งจาก "อายุ" ยิ่งมีอายุมากขึ้น ฮอร์โมนและต่อมไขมันต่างๆ ก็ทำงานน้อยลง ทำให้ผิวแห้ง โดยเฉพาะบริเวณตามข้อพับและหน้าขาซึ่งเป็นส่วนของร่างกายที่ต้องให้ความสำคัญ
          เป็นอันดับแรกๆ ที่ควรดูแลเป็นพิเศษ และจาก "สภาพอากาศ" ถ้าร้อนเกินไปหรือการทำงานอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ เป็นเวลานาน น้ำในผิวก็จะระเหยเร็วขึ้น ความชุ่มชื่นก็จะลดลงซึ่งส่งผลให้ผิวแห้งขึ้น นอกจากนี้ยังรวมถึงการเจอ "รังสี UV ฝุ่นและมลภาวะต่างๆ" และ "การเลือกใช้สบู่ที่มีฤทธิ์รุนแรงกับผิวจนเกินไป" เพราะสบู่ขจัดแบคทีเรียทั่วไปอาจทำความสะอาดผิวได้ดี แต่ก็ขจัดไขมันตามธรรมชาติ ทำให้เกิดอาการผิวแห้ง คัน ระคายเคืองได้ง่ายจนขาดสมดุล เพราะฉะนั้น การรักษาสมดุลผิวให้สุขภาพดีนั้นควรเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการอาบน้ำ
          "พ.ญ.สุทธินันท์ วิชญาณรัตน์" ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจากโรงพยาบาลพญาไท 2 กล่าวว่า "...อาการผิวขาดความสมดุลจากการอาบน้ำส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเลือกใช้สบู่ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กรณีคือ 1.อาบน้ำแล้วผิวสะอาดแต่สูญเสียความชุ่มชื่นตามธรรมชาติ เนื่องจากสบู่ขจัดแบคทีเรียที่มีประสิทธิภาพในการชำระล้างสิ่งสกปรกแต่ก็ขจัดไขมันตามธรรมชาติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันเชื้อแบคทีเรีย มลพิษต่างๆ และรักษาความชุ่มชื่นให้ผิวออกไปด้วย ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่นและเสียสภาวะสมดุลโดยไม่รู้ตัว เกิดอาการผิวแห้งตึง แพ้ คัน และระคายเคือง 2.อาบน้ำแล้วผิวไม่สะอาด เนื่องจากการใช้สบู่ที่ขาดประสิทธิภาพในการขจัดแบคทีเรีย ที่ทำให้เชื้อแบคทีเรียและมลพิษต่างๆ ตกค้างตามผิวหนัง ก่อให้เกิดโรคผิวหนังสร้างความรำคาญใจให้ได้ จึงควรเลือกใช้ "สบู่" ที่เหมาะสมกับผิว คือทั้งมีคุณสมบัติในการทำความสะอาดผิวและชำระล้างแบคทีเรียอย่างมีประสิทธิภาพพร้อมมีส่วนผสมของสารบำรุงผิวที่ช่วยกักเก็บและรักษาความชุ่มชื่นของผิว ทำให้ผิวมีสมดุล"
          พร้อมกันนี้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับการดูแลผิวให้สมดุลสุขภาพดีตั้งแต่ขั้นตอนการอาบน้ำสำหรับคนไทยที่อยู่ในเขตอากาศร้อนชื้นเกือบตลอดทั้งปี เริ่มตั้งแต่
          1.อุณหภูมิในการอาบน้ำ น้ำอุ่นมีข้อดีคือช่วยให้รูขุมขนขยายตัว จึงขจัดสิ่งสกปรกออกได้ดี แต่ข้อเสียคือหากอาบน้ำอุ่นนานๆ จะทำให้ร่างกายขับไขมันออกมาเร็วขึ้น และยังชะล้างน้ำมันออกไปอีกด้วย ผลที่ตามมาคือผิวของเราจะแห้งตึงเร็วขึ้นจนขาดความสมดุล เทคนิคที่คุณหมอแนะนำคือ ควรสลับอาบน้ำเย็นในช่วงท้ายของการอาบน้ำเพื่อปิดรูขุมขนและสร้างความสดชื่น พร้อมคงความสมดุลให้กับผิวกาย 2.บริเวณที่ฟอกผิว ควรให้ความสำคัญกับการฟอกสบู่เยอะๆ ในบริเวณข้อพับต่างๆ ขาหนีบ มือและเท้า รวมถึงซอกนิ้ว เพราะบริเวณดังกล่าวมักเป็นบริเวณที่มีการหมักหมมของแบคทีเรียเป็นจำนวนมาก
          3.ควรอาบน้ำด้วยฝักบัว แทนการแช่น้ำในอ่าง เพราะการอาบน้ำฝักบัวจะช่วยทำให้ผิวไม่บวมน้ำ และไขมันตามธรรมชาติไม่ถูกชะล้างออกไปมากเท่ากับการแช่ในอ่างอาบน้ำนานๆ การอาบน้ำฝักบัวจึงเสี่ยงต่อการสูญเสียความชุ่มชื่นผิวได้น้อยกว่า 4.10-15 นาที คือเวลาที่เหมาะสมในการอาบน้ำ เพราะยิ่งอาบน้ำนานเท่าไร ผิวเราก็จะแห้งเร็วขึ้นเท่านั้น
          และ 5.ควรเลือกใช้สบู่สุขภาพผิว ที่ให้ 2 คุณสมบัติที่ช่วยทำความสะอาดผิวและชำระล้างแบคทีเรียอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมีส่วนผสมของสารบำรุงผิวที่ช่วยกักเก็บและรักษาความชุ่มชื่นของผิว ทำให้ผิวมีสมดุล สุขภาพดี
          รู้ถึงอันตรายของผิวขาดสมดุลแล้ว ก็อย่าลืมดูแลผิวของเราให้สมดุลอย่างมีสุขภาพดีกันด้วยเทคนิคดูแลผิวให้สมดุล สุขภาพดี โดยอย่ามองข้ามขั้นตอนสำคัญอย่างการอาบน้ำ เพราะ "ผิวสมดุล.เริ่มต้นง่ายๆ ได้ที่การอาบน้ำ"