ศบค.แจงยอดโควิด-19 ประจำวันที่ 24 ม.ค. 64 ติดเชื้อเพิ่ม 198 ราย ป่วยสะสม 13,500 ราย หายอีก 119 ราย ตายเพิ่ม 1 เป็นหญิงไทยอายุ 73 ปี จากสมุทรสาคร รวมเสียชีวิต 73 ศพ นายกฯ ขอบคุณ เป็นกำลังใจให้ทุกภาคส่วน เสียสละ ทุ่มเททำงาน ยับยั้งโควิด-19 รอบใหม่ ตลอด 1 เดือน แบบไม่หยุด ย้ำขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามเคร่งครัด โดยหลังจากนี้มีผ่อนปรนมาตรการต่างๆ แต่ต้องไม่ประมาท การ์ดไม่ตก พร้อมไฟเขียว ให้ภาคเอกชน นำเข้าวัคซีน โควิด-19 ย้ำ ขึ้นทะเบียน กับ อย. ก่อน เพื่อให้มั่นใจว่ามีความปลอดภัย ขณะที่สธ.สรุปกรณี "ดีเจมะตูม" พบติด โควิด รวมแล้ว 19 ราย เผยที่มาต้นตอเชื้อ สอบประวัติผู้ประกาศข่าวช่อง NBT ก็เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เช่นกัน แจงไทยเจรจาโครงการ "โคแวกซ์" จัดหาวัคซีนโควิดตั้งแต่ต้น แต่ไทยถูกจัดกลุ่มประเทศปานกลาง ไม่เข้าเงื่อนไขรับฟรี หากร่วมต้องเอาเงินมาลงขัน ขณะที่ยอดป่วยโลกสาหัส คาดไม่เกิน 24 ชม.ทะลุ 100 ล้านราย
          ป่วยโควิดเพิ่ม198ราย
          แพทย์หญิง อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย โดยจะมารายงานเป็นประจำทุกวันเสาร์-อาทิตย์
          สำหรับยอดผู้ติดเชื้อประจำวัน มีดังนี้ ติดเชื้อในประเทศ 198 ราย ติดเชื้อจากต่างประเทศ 7 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวัง และระบบบริการ 118 ราย ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 73 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้า State Quarantine 6 ราย รักษาหายเพิ่มขึ้น 119 รายกลับบ้านแล้ว 10,567 ราย
          ทั้งนี้มีผู้ป่วยอยู่ระหว่างรักษาตัว 2,860 ราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 1 ศพ ยอดผู้เสียชีวิตสะสม 73 ศพ ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสม 13,500 ราย นับเป็นรายที่ 13,303-13,500 และประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 126 ของโลก
          ผู้ตายหญิงสมุทรสาครวัย73
          แพทย์หญิง อภิสมัย เผยอีกว่า ผู้เสียชีวิตรายล่าสุด เป็นหญิงไทย อายุ 73 ปี มาจาก จ.สมุทรสาคร มีอาการไอ เสมหะ อ่อนเพลีย โดยวันที่ 7 ม.ค. เข้าตรวจหาเชื้อโควิด-19
          ก่อนวันที่ 9. ม.ค. ผลยืนยันเป็นบวก มีอาการเหนื่อยหอบมากขึ้น มีอาการปอดอักเสบรุนแรง ได้ถูกส่งไปรักษา รพ.ตากสิน และตั้งแต่วันที่ 9-20 ม.ค.ระหว่างนั้น อาการดูดีขึ้น แต่ผู้ป่วยก็ไม่มีแรงขับเสมหะออกมาเอง จนถึงวันที่ 23 ม.ค. ผู้ป่วยก็เสียชีวิตลง ในเวลา 01.33 น. ซึ่งทางศบค.ขอแสดงความเสียใจด้วย
          เจอแรงงานพม่า95รายป่วย
          ตามที่จังหวัดสมุทรสาครได้ทำการ SWAB รอบสุดท้ายให้แก่แรงงานข้ามชาติในตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 1,217 คน เมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยโรงพยาบาลสมุทรสาครเป็นผู้นำสารคัดหลั่งจากโพรงจมูกไปตรวจหาเชื้อในห้องแล็บนั้น
          ผลสรุปตัวเลขล่าสุด เมื่อเวลา 15.30 น. ณ วันที่ 24 ม.ค.64 นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าฯ สมุทรสาคร เปิดเผยว่า จากจำนวนผู้เข้ารับการตรวจทั้งหมด 1,217 ราย มียอดผู้ติดเชื้อรวมทั้งสิ้น 95 ราย คิดเป็น 7.80 เปอร์เซ็นต์
          ทั้งนี้ในส่วนของผู้ที่พบเชื้อทั้ง 95 รายนั้น ทางสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครได้รับความร่วมมือจากรถทหารของกองบัญชาการกองทัพไทย นำผู้ติดเชื้อไปส่งเพื่อพักรักษาที่ศูนย์ห่วงใยคนสาคร แห่งที่ 1 สนามกีฬากลางจังหวัดสมุทรสาคร ส่วนผู้ที่ไม่พบเชื้อก็ยังคงสามารถพักอาศัยอยู่ในตลาดกลางกุ้งได้ตามปกติ
          สำหรับแนวทางหรือมาตรการที่จะปฏิบัติในตลาดกลางกุ้งขั้นตอนต่อไปนั้น ทั้งกิจกรรมบิ๊กคลีนนิ่งเดย์ เปิดรั้วลวดหนามให้คนเข้า-ออกได้รวมถึงกำหนดวันเปิดตลาดให้ค้าขายได้ตามปกติ เบื้องต้นยังคงต้องรอผลสรุปที่ชัดเจนจากทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาคร ที่จะมีการประชุมหารือกันทุกวัน
          นายกฯขอบคุณทุกฝ่ายร่วมมือ
          เมื่อวันที่ 24 ม.ค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ขอบคุณและเป็นกำลัง ให้คณะแพทย์ เจ้าหน้าที่ บุคลากรสาธารณสุข ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ตลอดจนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอด 1 เดือน ที่ผ่านมา หลังจากเกิดกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2563 ซึ่งหลายภาคส่วนได้เสียสละทำงานอย่างไม่มีวันหยุด เพื่อควบคุมสถานการณ์ ให้ได้โดยเร็ว
          น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ขอเป็นกำลังใจทุกภาคส่วนได้ทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมดและการติดเชื้ออยู่ในเกณฑ์ต่ำ ซึ่งปัจจุบันสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วในหลายจังหวัด ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการทุ่มเททำงานอย่างหนักของทุกองคาพยพ และความร่วมมือของประชาชน โดยนายกรัฐมนตรียังฝากให้ทุกคนทำงานด้วยความระวัดระวัง อย่าประมาท เน้นความปลอดภัยทั้งตนเองและส่วนรวม รัฐบาลพร้อมสนับสนุนปัจจัยด้านต่างๆ อย่างเต็มที่ เพื่อความปล่อดภัยของประชาชน
          น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลยังต้องขอความร่วมมือประชาชนช่วยกันลดความเสี่ยงการติดโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็น การงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น งดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง งดการรวมกลุ่ม สวมใส่หน้ากากอนามัย เมื่อออกจากบ้าน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ติดตั้งแอปพลิเคชัน "หมอชนะ" ฯลฯ และขอบคุณประชาชนที่ให้ความมือเป็นอย่างดีเสมอมา โดยหลังจากนี้จะมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆ ตามลำดับ แต่ต้องไม่ประมาท การ์ดไม่ตก
          ไฟเขียวเอกชนนำเข้าวัคซีน
          นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายให้เอกชนสามารถนำเข้าวัคซีน โควิด-19 ได้ โดยขอให้ยื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนวัคซีนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ถูกต้อง
          นายอนุชา กล่าวว่า อย. จะพิจารณา ตรวจสอบวัคซีนที่จะขอนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย ซึ่งจะต้องได้รับการประเมินก่อนนำไปใช้จริง โดยทาง อย.จะประเมินทั้งในด้านคุณภาพ ด้านความปลอดภัยและด้านประสิทธิผลของวัคซีน ว่าเหมาะสมกับคนไทย โดยผู้ที่ต้องการขึ้นทะเบียนจะต้องแสดงข้อมูลเอกสารหลักฐานเพื่อประเมินคุณสมบัติของวัคซีน ทั้ง 3 ด้านดังกล่าว
          นายอนุชา กล่าวว่า อย. ได้ปรับการทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียน วัคซีนโควิด-19 อย่างเต็มที่ ด้วยการระดมเพิ่ม ผู้เชี่ยวชาญทั้งภายในและภายนอกมาร่วมพิจารณา เพื่อให้สามารถอนุมัติวัคซีนได้โดยเร็วที่สุด แต่ยังคงไม่สามารถผ่อนคลายกฎเกณฑ์หรือลดหย่อนการกำกับดูแล เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชน
          "การจัดหาวัคซีนป้องกัน โควิด-19 นี้ ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ภายใต้สถานการณ์ที่มีความต้องการใช้สูงทั่วโลก อีกทั้งวัดซีนที่มีอยู่ เพิ่งเสร็จจากงานวิจัยเข้าสู่กระบวนการผลิตของแต่ละบริษัท ดังนั้น การนำเข้าวัคซีนต้องมั่นใจว่าเป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย มีคุณภาพมาตรฐาน และมีประสิทธิผล เนื่องจากวัคซีนที่ อย. รับขึ้นทะเบียนเป็นวัคซีนที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในภาวะฉุกเฉิน ที่จะต้องมีระบบการกำกับติดตาม เฝ้าระวังความปลอดภัยจากการใช้อย่างต่อเนื่อง" นายอนุชา กล่าว
          สนง.ตร.แจงเจ้าหน้าที่ป่วย
          เมื่อวันที่ 24 ม.ค. พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. เปิดเผยว่า ได้รับรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองทะเบียนประวัติอาชญากรติดเชื้อโควิด 1 ราย โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งตัวเข้ากักตัวและทำการรักษาแล้ว
          ในส่วนของสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ พล.ต.ท.วิเชียร ดันตะวิริยะ ผบช.สพฐ. ได้สั่งการให้ทำความสะอาดและพ่นยาฆ่าเชื้อโรคอาคารที่ทำการของ สพฐ. และ ทว.ทั้งหมดเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
          โดยในวันที่ 25 ม.ค. 64 จะได้ดำเนินการสอบสวนโรคกลุ่มผู้สุ่มเสี่ยง และดำเนินการตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) อย่างเคร่งครัด ในส่วนของมาตรการ Work From Home ก็ให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติตามแนวทางที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้กำหนดไว้
          โฆษก ตร. ยังได้ฝากความห่วงใยไปถึงพี่น้องประชาชน และพี่น้องข้าราชการตำรวจรวมถึงครอบครัว โดยขอความร่วมมือให้ปฏิบัติตามมาตรการ ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อช่วยกันหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรคโดยเร็ว
          เคสดีเจมะตูมป่วยรวม19คน
          นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงถึงสถานการณ์โควิด-19 เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า การสอบสวนโรคกรณีดีเจมะตูม ที่เปิดเผยข้อมูลรวดเร็ว ทำให้ผู้สัมผัสติดตามไทม์ไลน์และกักตัวเอง การสอบสวนโรคพบว่าเริ่มต้นจากสถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจ.เชียงใหม่ มีผู้ติดเชื้อรายแรก อายุ 33 ปี ผู้ป่วยไม่มีอาการ เข้าไปเที่ยวโดยในสถานบันเทิงไม่มีการเว้นระยะห่าง ไม่สวมหน้ากากอนามัยและมีผู้ติดเชื้อในสถานบันเทิงแห่งนั้นจำนวนมาก ต่อมาได้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของดีเจมะตูม มีผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก จึงเกิดการแพร่กระจายเชื้อ
          ขณะเดียวกันจากการสอบสวนประวัติผู้ประกาศข่าวช่อง NBT ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เช่นกัน หลังจากนั้นได้ไปงานเลี้ยงอีกงาน โดยมีผู้ร่วมงานโหลดแอปพลิเคชันหมอชนะ เมื่อพบว่ามีผู้ติดเชื้อก็จะแจ้งเตือนไปถึงผู้ที่อยู่ในโรงแรมเวลานั้น สังเกตอาการตนเองหากพบอาการผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ หรือสอบถามที่สายด่วน 1422
          "รวมทั้งหมดจะเป็น 3 กลุ่ม แต่เชื่อมโยงกันด้วยงานเลี้ยง มีผู้ติดเชื้อจากเหตุการณ์ทั้งหมด รวมกัน 19 ราย ซึ่งจะสังเกตว่าจุดที่มีความเสี่ยงต้องย้ำหลายครั้งคือ สถานที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ผู้เข้าร่วมไม่สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะงานเลี้ยงวันเกิดจะมีการกินเลี้ยงและเป่าเค้กวันเกิด"
          "หรือบางครั้ง มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อไปได้เพราะคนส่วนใหญ่ติดเชื้อไม่มีอาการ เป็นบทเรียนสอนเรา ว่าความเสี่ยงจะเกิดจากการไปร่วมงานเลี้ยงสั่งสรรค์กัน ถึงแม้จะเป็นบุคคลรู้จักกันก็ตามก็มีโอกาสติดเชื้อได้ จึงต้องมีการระมัดระวังเป็นอย่างสูง" นพ.โอภาส กล่าว
          ขอให้เลี่ยงงานเลี้ยงแออัด
          นพ.โอภาส กล่าวต่อว่า งานเลี้ยงไม่ควรให้มีความแออัดมากเกินไป ไม่พูดคุยเสียงดัง เพราะส่วนใหญ่การติดเชื้อต่อ มักจะเกิดจากการตะโกนเสียงดัง เช่นเดียวกับการร้องเพลงสังสรรค์ในพื้นที่แออัด และการดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้มีพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อด้วย
          คนใช้หมอชนะเกือบ7ล้าน
          นพ.โอกาส กล่าวว่า ข้อมูลหมอชนะ ล่าสุดวันที่ 24 ม.ค. มีผู้ลงทะเบียนใช้งานแล้ว 6.82 ล้านคน และแจ้งเตือนผู้ใช้งานไปแล้วกว่า 5,927 ราย อย่างไรก็ตามระยะหลังการเพิ่มขึ้นค่อนข้างน้อย จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนดาวน์โหลดเพื่อประโยชน์ ในการควบคุมโรคได้รวดเร็ว
          สธ.แจงไทยไม่ได้วัคซีนฟรี
          นพ. โอภาส การย์กวินพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณีกระแสข่าวกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไม่ยอมเข้าร่วมโครงการ COVAX (โคแวกซ์) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในการจัดหาวัคซีน โควิด-19 และกำลังจะส่งให้วัคซีนของของไฟเซอร์ แก่ประเทศสมาชิกที่ยากจนกว่า ซึ่งเข้าร่วมโครงการ กว่า 40 ล้านโดส ว่า
          "ในการจัดหาวัคซีน มีการวางแผนเข้า ร่วมกับโครงการโคแวกซ์ตั้งแต่แรก แต่ในการเจรจานั้น โครงการนี้เป็นโครงการที่ให้วัคซีนฟรีกับประเทศยากจน ซึ่งทางโครงการจัดประเทศไทยอยู่ในประเทศรายได้ปานกลาง จึงไม่ได้รับฟรีตรงนี้"
          หากจะเข้าร่วมก็ต้องนำเงินไปร่วมลงขันในการจัดหาวัคซีน ซึ่งโครงการก็ยังไม่ได้ระบุว่า จะเอาวัคซีนตัวไหนมา และก็ยังไม่มีวัคซีนตัวใดที่มีความคืบหน้ามาก เพียงแต่บอกให้ไทยเอาเงินไปร่วมลงขัน เมื่อได้มาแล้วก็จะได้วัคซีนในรูปแบบของการซื้อในราคาตามปกติ ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่ได้เงินคืน จึงเป็นเรื่องยากในการที่จะเอาเงินไปลงตรงนั้น
          "เราไม่ได้ทิ้งเรื่องของการเจรจาในโครงการโคแวกซ์ ซึ่งขณะนี้วัคซีนเริ่มทยอยออกมา เราคุยกันอยู่เรื่อยๆ ในเรื่องข้อมูลต่างๆ อาจจะสามารถแบ่งให้ประเทศไทยซื้อได้หรือไม่ในราคาต้นทุน หรือ ราคาถูก แต่ประเทศไทยไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับวัคซีนฟรีอยู่แล้ว" นพ.โอภาส กล่าว
          มาเลย์ทุบสถิติป่วยสูงสุด
          สเตรตส์ไทมส์ รายงานเมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซียเปิดเผยว่า พบผู้ป่วย โควิด-19 รายใหม่อีก 4,275 คน นับเป็นตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของประเทศ และทุบสถิติ 4,029 คน เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ส่วนในช่วง 7 วันที่ผ่านมา มาเลเซียมีผู้ป่วยใหม่รวมกัน 25,360 คน คิดเป็นจำนวนเฉลี่ยรายวันที่ 3,622 คน รวมยอดสะสม 180,455 คน สำหรับผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 667 ราย และรักษาหายแล้ว 137,019 คน
          ป่วยอินโดฯใกล้แตะล้าน
          นอกจากมาเลเซียแล้ว ยังมีสมาชิกอาเซียนหลายประเทศ ที่ประสบวิกฤตไวรัสมรณะต่อเนื่อง รวมถึงอินโดนีเซียที่พบผู้ติดเชื้อใหม่ 12,191 คน รวมแล้วมีผู้ป่วยสะสมมากที่สุดในภูมิภาคที่ 977,474 คน เสียชีวิต 27,664 ราย ด้านฟิลิปปินส์ติดเชื้อเพิ่มอีก 1,797 คน รวมป่วยสะสม 511,679 คนเสียชีวิต 10,190 ราย และพม่ามีพบป่วยใหม่ 507 คน ส่งผลให้ยอดสะสมเพิ่มเป็น 137,098 คน เสียชีวิต 3,045 ราย
          รมต.ศรีลังกาติดโควิด
          บีบีซี รายงานว่า ทางการศรีลังกาแถลงว่า น.ส.ปวิธรา วันนีอรัชชี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจพบว่าติดเชื้อ โควิด-19 เมื่อวันศุกร์ที่ 22 ม.ค. และแยกกักตัวแล้ว โดยก่อนหน้านี้ วันนีอรัชชี ออกตัวสนับสนุน รวมถึงดื่มยาน้ำเชื่อมที่หมอผีชาวศรีลังกาคนหนึ่ง โดยอ้างว่ามีสรรพคุณ ป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้ตลอดชีวิต ผลิตขึ้นตามสูตรยาที่ปรากฏในความฝัน ประกอบด้วยวัตถุดิบลับผสมผสานกับน้ำผึ้งและลูกจันทน์เทศ
          โดยความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นราว 1 สัปดาห์ หลังจากนายวิรัช อเภสิงเห เลขาธิการฝ่ายสื่อของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งดื่มยาน้ำเชื่อมดังกล่าว ก็ถูกตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคโควิด-19 เช่นกัน ขณะที่ศรีลังกาพบผู้ป่วยใหม่ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาอีก 724 คน รวมยอดติดเชื้อสะสมเพิ่มเป็น 57,587 คน และเสียชีวิตแล้ว 280 ราย
          ป่วยโลกใกล้ทะลุ100ล้าน
          เว็บไซต์ worldometers รายงานสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก ประจำวันที่ 24 ม.ค. 64 ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกพุ่งสูงต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าอีกไม่เกิน 24 ชม. ยอดติดเชื้อทั่วโลกจะทะลุ 100 ล้านคน โดยยอดล่าสุด ณ เวลา 18.30 น. (เวลาไทย) อยู่ที่ 99,395,265 คน เสียชีวิตแล้ว 2,131,843 คน และรักษาหายแล้ว 71,464,644 คน
          ขณะที่ยอดป่วยในระดับประเทศ ชาติที่มียอดติดเชื้อสูงสุด 5 อันดับแรกของโลก มีดังนี้ อันดับ 1 สหรัฐอเมริกา 25,566,789 คน, อันดับ 2 อินเดีย 10,655,435 คน, อันดับ 3 บราซิล 8,816,254 คน, อันดับ 4 รัสเชีย 3,719,400 คน และอันดับ 5 สหราชอาณาจักร 3,617,459 คน